tag:blogger.com,1999:blog-39149645054213515482024-03-12T23:42:40.695-07:00โคนมKullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-8064056988882569022011-09-17T08:12:00.000-07:002011-09-17T09:16:22.434-07:00ความเป็นมาของการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยของเรานั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไร บ้างก็บอกว่าก่อนสมัยสงครามโลก บ้างก็บอกว่าก่อนปี พ.ศ.<span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2500 <span lang="TH">โดยชาวอินเดียที่อาศัยในไทยได้นำโคนมเข้ามาเลี้ยงเพื่อใช้รีดน้ำนมไว้บริโภคภายในครอบครัว ถ้าเหลือก็ขาย โดยโคนมที่นำมาเลี้ยงในขณะนั้นคือ <b>“โคบังกาลา”</b> ให้น้ำนมวันละ </span>2-3 <span lang="TH">กิโลกรัม และให้น้ำนมนาน </span>250 <span lang="TH">วันในช่วงการให้นม</span></span> <br />
<br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="line-height: 150%;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ต่อมาในปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2463 <b><span lang="TH">หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร</span></b><span lang="TH"> (ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการเกษตรสมัยใหม่) ได้ทดลองเลี้ยงโคนมเพื่อผลิตน้ำนมไว้บริโภคเองภายในครัวเรือน ที่ ตำบลบางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ต่อมาก็เริ่มมีคนไทยสนใจเลี้ยงโคนมมากขึ้น แต่ก็ไม่มากนัก และได้มีการจัดตั้งฟาร์มโคนมแห่งแรกชื่อว่า <b>“บางกอกเดรี่ฟาร์ม”</b> โดยพระยาเทพหัสดิน เพื่อผลิตน้ำนมสดบรรจุขวดขายส่งตามบ้าน แต่ไม่คุ้มทุนจึงเลิกไป</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2486 <span lang="TH">กระทรวงเกษตรได้จัดตั้งหมวดโคนมขึ้นมาที่เกษตรกลาง บางเขน ทดลองเลี้ยง<b>โคพันธุ์ซีบู </b></span><b>(Zebu)</b> <span lang="TH">แต่พบว่าให้น้ำนมปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง<b>องค์การนม</b>ขึ้น เพื่อรวบรวมน้ำนมเพื่อเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงทารก และช่วงเวลาเดียวกันนั้นทหารญี่ปุ่นได้นำ<b>โคนมพันธุ์โฮลสไตน์</b> เข้ามาจากมลายู และสิงคโปร์ เพื่อรีดน้ำนมไว้เลี้ยงนายทหาร และคนเจ็บ แต่เมื่อสิ้นสงครามองค์การนมได้ล้มเลิกไป เนื่องจากมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมที่มีราคาถูก และคุณภาพดีกว่ามาใช้แทน การเลี้ยงโคนมจึงซบเซาลงไป แต่ยังคงหลงเหลือโคนมพันธุ์โฮลสไตน์อยู่ ซึ่งตกเป็นของชาวอินเดีย และถูกนำไปแพร่พันธุ์ ได้โคนมลูกผสมพันธุ์ใหม่ที่ให้น้ำนมดีกว่าโคพันธุ์บังกาลาเดิม ในปี พ.ศ. </span>2491 <span lang="TH">หม่อมราชวงศ์ชวนิศนดากร วรวรรณ ได้รายงานถึงจำนวนผู้เลี้ยงโคนมในปี พ.ศ. </span>2488 <span lang="TH">ว่ามีด้วยกัน </span>127 <span lang="TH">ราย (เป็นของคนไทย </span>5 <span lang="TH">รายเท่านั้น)</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">จนปี พ.ศ. </span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2495 <span lang="TH">คนไทยมีความตระหนักถึงประโยชน์ของนม จึงหันมาบริโภคน้ำนมกันมากขึ้น ทำให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงหันมาให้ความสนใจการเลี้ยงโคนมเพื่อลดปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์นม ได้มีการนำเข้าโคนมพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาทดลองเลี้ยง เพื่อหาพันธุ์โคนมที่เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมของเมืองไทย โดยได้สังซื้อพันธุ์เรดซินดี้ เพศผู้ </span>2 <span lang="TH">ตัว เพศเมีย </span>20 <span lang="TH">ตัว จากปากีสถาน และส่งไปยังสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ในจังหวัดต่างๆ ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้สั่งโคนมพันธุ์เจอซี่ เพศผู้ </span>2 <span lang="TH">ตัว เพศเมีย </span>6 <span lang="TH">ตัว จากออสเตรเลีย เข้ามาเลี้ยงไว้ที่เกษตรกลาง บางเขน เช่นกัน</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2497 <span lang="TH">กองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก ได้สั่งซื้อโคนมเจอร์ซี่จากออสเตรเลีย </span>24 <span lang="TH">ตัว เพื่อมาขยายพันธุ์ และปรับปรุงพันธุ์โคบังกาลา ที่สถานีซับม่วง นครราชสีมา เพื่อฟื้นฟูการเลี้ยงโคนม และทำผลิตภัณฑ์นมสำหรับใช้ในกองทัพบก</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2499 <span lang="TH">กรมปศุสัตว์ได้จัดตั้งสถานีผสมเทียมแห่งแรกขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยรับมอบโคนมพันธุ์บราวน์สวิส เพศผู้ </span>18 <span lang="TH">ตัว เพศเมีย </span>30 <span lang="TH">ตัว จากสมาคมชาวนาอเมริกัน ชื่อ </span>Heifer Project Incorporation <span lang="TH">เพื่อนำไปเลี้ยงขยายพันธุ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ต่างๆ</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2501 <span lang="TH">นายสุริยน ไรวา เป็นเอกชนรายแรกที่สั่งซื้อโคนมพันธุ์เรดเดนนิช จากเดนมาร์ค </span>23 <span lang="TH">ตัว เข้ามาที่ ฟาร์ม เอส อาร์ จังหวัดชลบุรี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2502 <span lang="TH">พลเอกสุรจิต จารุเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ได้หันมาส่งเสริมการเลี้ยงโคนมอย่างจริงจัง เริ่มต้นที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง สระบุรี โดยใช้โคนมพันธุ์บราวน์สวิส และลูกผสม ที่รวบรวมมาจากสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ต่างๆ เพื่อเป็นสถานที่ศึกษา ทดลอง และฝึกอบรมให้แก่ผู้ที่สนใจ และจากนั้นก็นำเข้าโคนมพันธุ์บราวน์สวิส เจอร์ซี และโฮลสไตน์-ฟรีเชียน อีกจำนวนหนึ่ง</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2503 <span lang="TH">รัฐบาลเดนมาร์คได้ทูลเกล้าถวาย โครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย เพื่อเป็นของขวัญแด่ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ในโอกาสที่เสด็จเยือนประเทศเดนมาร์ค ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยจัดตั้งฟาร์มโคนม และโรงงานผลิตนมสดขึ้นที่ อ.มวกเหล็ก สระบุรี โดยใช้ชื่อว่า <b>“ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค” </b>เปิดเป้นทางการในวันที่ </span>16 <span lang="TH">มกราคม </span>2505 <span lang="TH">ซึ่งต่อมาได้โอนกิจการเป็นรัฐวิสาหกิจใช้ชื่อใหม่ว่า <b>“องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)”</b> ในปี พ.ศ. </span>2516</span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2504 <span lang="TH">ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย โดยได้มอบเครื่องพาสเจอร์ไรซ์น้ำนมระบบ </span>High temperature short time <span lang="TH">ให้แก่ทางมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นประโยชน์ทางด้านการศึกษา</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2505 <span lang="TH">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มโครงการเลี้ยงโคนมสวนจิตรลดา เพื่อส่งเสริมการศึกษาปัญหาการเลี้ยงโคนมในประเทศด้วยพระองค์เอง โดยช่วงแรงได้สร้างฟาร์มเลี้ยงโคนม</span> (12 <span lang="TH">มกราคม </span>2505) <span lang="TH">และโปรเกล้าให้สร้างโรงงานนมผงจิตรลดาขึ้นในบริเวณพระราชตำหนักจิตรลดาในเวลาต่อมา (</span>7 <span lang="TH">ธันวาคม </span>2512)<span lang="TH"> เพื่อเตรียมไว้แก้ปัญหาทางด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร ในกรณีที่มีน้ำนมดิบล้นตลาด</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2510 <span lang="TH">การเลี้ยงโคนมได้รับความนิยมอย่างสูง และขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดราชบุรี อยุธยา และนครปฐม ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้มากเกินความต้องการของตลาดท้องถิ่น จำเป็นต้องหาแหล่งรับซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น สหกรณ์ที่ดินได้ให้ความช่วยเหลือโดยการเสนอโครงการจัดตั้ง และส่งเสริมสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมต่อรัฐบาลขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเดนมาร์ค ในการสร้างศูนย์รวบรวมนม และโรงงานผลิตน้ำนมสดขึ้นที่จังหวัดอยุธยา และนครปฐม ซึ่งต่อมาคือ สหกรณ์โคนมอยุธยา จำกัด และสหกรณ์โคนมนครปฐม จำกัด</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2514 <span lang="TH">กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในเขตจังหวัดราชบุรีได้รวมตัวกันจัดตั้ง “สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด” เนื่องจากได้รับความเดือนร้อนที่ไม่สามารถจำหน่ายน้ำนมดิบได้ ในปี พ.ศ. </span>2515 <span lang="TH">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ช่วยเหลือในการจัดสร้างโรงงานนมผงขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “บริษัทผลิตภัณฑ์นมหนองโพราชบุรี จำกัด” และได้ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่พบว่าการผลิตนมผงนั้นขาดทุนตลอดมา เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงมาก ต่อมาบริษัทผลิตภัณฑ์นมฯ จึงได้รวมการดำเนินงานเข้ากับสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ.</span>2518 <span lang="TH">ใช้ชื่อว่า <b>“สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์)”</b></span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ปี พ.ศ.</span><span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">2525 <span lang="TH">เป็นปีที่เริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ </span>5 <span lang="TH">รัฐบาลได้วางเป้าหมายเร่งรัดการผลิตน้ำนมดิบให้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ </span>17.7 <span lang="TH">ต่อปี เพื่อให้สามารถผลิตน้ำนมดิบได้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้า ผลเร่งรัดดังกลางทำให้มีการนำเข้าโคนมจากต่างประเทศกว่า </span>2,000 <span lang="TH">ตัว และสามารถผลิตน้ำนมดิบได้เฉลี่ยร้อยละ </span>24 <span lang="TH">ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; line-height: 150%;">ในช่วงแรกที่มีการเลี้ยงโคนมนั้น นักวิชาการส่วนใหญ่มักมีความเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของไทยร้อน ไม่เหมาะกับการเลี้ยงโคนม และคนไทยสมัยนั้นยังไม่นิยมดื่มนม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันปรากฏว่าการเลี้ยงโคนมเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความมั่นคง ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายตัวออกไปในอัตราที่รวดเร็วทั้งภาครัฐ และเอกชน อีกทั้งคนไทยยังนิยมดื่มนมกันมากขึ้นจนการผลิตน้ำนมสดไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ และยังคงต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศอีกจำนวนมาก</span></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-39133113228057097272011-09-17T07:51:00.000-07:002011-09-17T09:21:30.522-07:00พระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม<div align="center" style="line-height: normal;">พระราชบัญญัติ</div><div align="center" style="line-height: normal;">โคนมและผลิตภัณฑ์นม</div><div align="center" style="line-height: normal;">พ.ศ. ๒๕๕๑</div><div align="center" style="line-height: normal;"><u style="text-underline: thick;"> </u></div><div align="center" style="line-height: normal;"></div><div align="center" style="line-height: normal;">ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.</div><div align="center" style="line-height: normal;">ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑</div><div align="center" style="line-height: normal;">เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน</div><div align="center" style="line-height: normal;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยโคนมและผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. ๒๕๕๑”</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“โคนม” หมายความว่า โคซึ่งตามปกติเลี้ยงไว้เพื่อการผลิตนม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ผลิตภัณฑ์นม” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำน้ำนมโค นมผงและนมคืนรูปมาผ่านขบวนการผลิต โดยการแยกออกหรือเติมเข้าไปซึ่งวัตถุอื่นใด หรือแยกมันเนยบางส่วนหรือเกือบทั้งหมดออกจากนม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“อุตสาหกรรมนม” หมายความว่า การผลิต ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนและให้ซึ่งน้ำนมโค เนื้อโคนมและผลิตภัณฑ์จากน้ำนมและเนื้อโคนม ตลอดจนอาหารสัตว์ น้ำเชื้อ ตัวอ่อน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผลิตและการตลาด การบริการเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนม การผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำนมและเนื้อโคนม และการดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกับอุตสาหกรรมนม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“น้ำนมโค” หมายความว่า น้ำนมที่รีดจากแม่โคหลังจากคลอดลูกแล้วสามวัน เพื่อให้ปราศจากน้ำนมเหลือง โดยมิได้แยกหรือเติมวัตถุอื่นใด และยังไม่ผ่านกรรมวิธีการผลิตในขั้นตอนใดๆ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“นำเข้า” หมายความว่า นำหรือส่งเข้ามาในราชอาณาจักร</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ส่งออก” หมายความว่า นำหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“เกษตรกรโคนม” หมายความว่า ผู้ซึ่งประกอบอาชีพการเลี้ยงโคนมเพื่อส่งน้ำนมโคให้กับศูนย์รับน้ำนมโคขององค์กรของรัฐ องค์กรของเอกชนหรือสหกรณ์</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“องค์กรเกษตรกรโคนม” หมายความว่า สมาคม สหกรณ์ หรือกลุ่มเกษตรกรโคนมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแต่ไม่รวมถึงบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มีเกษตรกรโคนมเป็นผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ผู้แทนองค์กรเกษตรกรโคนม” หมายความว่า ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรเกษตรกรโคนม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” หมายความว่า บุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำธุรกิจการผลิตหรือจำหน่ายโคนมหรือผลิตภัณฑ์นม หรือตามที่คณะกรรมการกำหนด</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ผู้แทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” หมายความว่า ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“ผู้แทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม” หมายความว่า บุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำธุรกิจการผลิตหรือจำหน่ายโคนมหรือผลิตภัณฑ์นม หรือตามที่คณะกรรมการกำหนด</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสิบสองคนเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้มีผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการจำนวนสองคน โดยมาจากผู้แทนองค์กรเกษตรกรโคนมหนึ่งคน และผู้แทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมหรือผู้แทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมหนึ่งคน</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่งให้แต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านโคนมและผลิตภัณฑ์นมจากสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวนสองคน ผู้แทนองค์กรเกษตรกรโคนมจำนวนห้าคน ซึ่งเสนอโดยชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด และผู้แทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้แทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมจำนวนห้าคน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">ให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานตามมติของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๕ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๑) มีสัญชาติไทย</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๒) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๓) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๔) ไม่เคยเป็นผู้ถูกสั่งให้ออกตามมาตรา ๗</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๕) ไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือกรรมการที่ปรึกษา หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปีและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๑) ตาย</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๒) ลาออก</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๓) เป็นบุคคลล้มละลาย</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๔) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๕) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๕</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๖) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๗) รัฐมนตรีให้ออกเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๘ ถ้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคนใดคนหนึ่งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระจะต้องมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างลง และให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">เมื่อครบกำหนดตามวาระในมาตรา ๖ หากยังไม่ได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๙ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่จึงจะเป็นองค์ประชุม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจมาประชุมได้ ให้คณะกรรมการดำเนินการเลือกกรรมการซึ่งมาประชุมคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">การวินิจฉัยชี้ขาดโดยมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๑๐ คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๑) กำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงโคนม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๒) กำหนดนโยบายและแผน การผลิตและการจำหน่ายน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๓) กำหนดปริมาณและเงื่อนไขการนำเข้า การส่งออกน้ำนมโค นมผงและผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๔) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการคำนวณต้นทุนในการผลิตน้ำนมโคและกำหนดราคาซื้อน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม รวมทั้งกำหนดวันรับซื้อและวันหยุดรับซื้อน้ำนมโคของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๕) กำหนดระเบียบว่าด้วยเบี้ยปรับสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบหรือประกาศที่คณะกรรมการกำหนด</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๖) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตามพระราชบัญญัตินี้ และอาจเชิญส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนหรือบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย ความเห็นหรือคำแนะนำ รวมทั้งขอเอกสารที่เกี่ยวข้อง</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๗) ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเกษตรกรโคนม ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม ในการกำหนดมาตรฐานปัจจัยการผลิตและผลิตภัณฑ์ สถานที่เลี้ยงโคนมศูนย์รวบรวมน้ำนมโคและโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมทั้งระบบการขนส่ง เพื่อให้การผลิตและการตลาดโคนมและผลิตภัณฑ์นมเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐาน และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโคนมและผลิตภัณฑ์นม</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๘) กำหนดข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศหรือคำสั่งเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นมและอุตสาหกรรมนมตามที่กฎหมายกำหนด</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;">มาตรา ๑๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้</div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div style="line-height: normal; text-indent: 72pt; text-justify: inter-cluster;"></div><div align="center" style="line-height: normal; margin: 0cm 271.3pt 0pt 0cm;">ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ</div><div align="center" style="line-height: normal; margin: 0cm 271.3pt 0pt 0cm;">พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์</div><div align="center" style="line-height: normal; margin: 0cm 271.3pt 0pt 0cm;">นายกรัฐมนตรี</div><div><br clear="all" /></div><div style="line-height: normal; text-justify: inter-cluster;"><span style="color: red;">หมายเหตุ</span> เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์และให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ ได้แก่ เกษตรกรโคนม ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้บริโภครวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมนมและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคในประเทศให้มีเสถียรภาพ มีน้ำนมที่มีคุณภาพ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้น ในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากองค์กรเกษตรกรโคนมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม และภาคราชการที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติ</div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-87911240776150890962011-09-17T02:59:00.000-07:002011-09-17T08:33:05.115-07:00การเริ่มต้นเลี้ยงโคนม<span style="font-family: MS Sans Serif;"><span style="color: orange; font-size: x-small;">สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ทุน สถานที่ ตลาด และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในที่นี้จะกล่าวเน้นเฉพาะทุนในการดำเนินการซึ่งทุนดังกล่าวอาจแบ่งแยกออกได้เป็น 5 รายการคือ</span></span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">1.ทุนสำหรับซื้อโค</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">2.ทุนสำหรับสร้างโรงเรือนหรือคอกสัตว์</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">3.ทุนสำหรับการเตรียมแปลงหญ้า</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">4.ทุนสำหรับการหาแหล่งน้ำหรือการชลประทาน</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">5.ทุนสำหรับรับรองจ่าย ซึ่งหมายถึง ทุนหมุนเวียน เช่นค่าอาหาร หรือ ค่าแรงงานต่าง ๆ เป็นต้น</span><br />
<br />
<span style="color: orange; font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">การเริ่มต้นเลี้ยงโคนมอาจเริ่มต้นได้หลายวิธี ซึ่งแล้วแต่ความเหมาะสมและความพร้อมของแต่ละบุคคลในการเริ่ม ต้นที่จะเลี้ยง ซึ่งอาจพอแนะนำพอเป็นสังเขปได้ เช่น</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">1. เริ่มต้นโดยการหาหรือเลือกซื้อแม่โคพันธุ์พื้นเมืองหรือแม่ที่มีสายเลือดโคเนื้อที่มีลักษณะดีไม่เป็นโรคติดต่อมา เลี้ยง แล้วใช้วิธีผสมเทียมกับสายเลือดโคพันธุ์นมของยุโรปพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง เมื่อได้ลูกผสมตัวเมียก็จะมีเลือดโคนม 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อเลี้ยงต่อไปอีกประมาณ 30 - 36 เดือนก็จะให้ลูกตัวแรกแม่โคตัวนี้ก็จะเริ่มรีดนมได้</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">2. เริ่มต้นโดยหาซื้อลูกโคนมพันธุ์ผสมเพศเมียมาเลี้ยง โดยอาศัยนมเทียมหรือหางนมผงละลายน้ำให้กินในปริมาณ จำกัด พร้อมทั้งให้อาหารข้นและหญ้าแก่ลูกโคจนกระทั่งหย่านม - อายุผสมพันธุ์ - ท้อง - คลอดลูกและเริ่มรีดนม ได้</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">3. เริ่มต้นโดยการจัดซื้อโคนมอายุเมื่อหย่านม,โครุ่น,โคสาวหรือโคสาวที่เริ่มตั้งท้องหรือแม่โคที่เคยให้นมมาแล้ว จากฟาร์มใดฟาร์มหนึ่งมาเลี้ยง วิธีนี้ใช้ทุนค่อนข้างสูงแต่ให้ผลตอบแทนเร็ว</span><br />
<br />
<span style="color: orange; font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;"><strong>หลักในการเลือกซื้อโคนม </strong></span><span style="font-size: medium;"><span style="color: #cccccc; font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรจะเริ่มต้นเลี้ยงโคนมด้วยวิธีใดก็ตามควรจะมีหลักในการพิจารณาเลือกซื้อโคนมบ้าง เพื่อให้ได้สัตว์ ที่มีคุณภาพดี ซึ่งหลักในการพิจารณาเลือกซื้อโคนมดังกล่าวมีอยู่หลายประการอาจกล่าวแนะนำพอสังเขปได้ดังนี้ คือ</span></span><br />
<div align="left"><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">1. ไม่ว่าจะเลือกซื้อโคขนาดใดก็ตามต้องสอบถามประวัติ ซึ่งหมายถึง สายพันธุ์และความเป็นมาอย่างน้อยพอสังเขป</span></div><div align="left"><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">2. ถ้าเป็นโครีดนมควรจะเป็นแม่โคที่ให้ลูกตัวที่ 1 ถึง ตัวที่ 4</span></div><div align="left"><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">3. ถ้าเป็นแม่โคที่รีดนมมาหลายเดือนควรจะตั้งท้องด้วย</span></div><div align="left"><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">4. ถ้าเป็นโคสาวหรือแม่โคนมแห้งก็ควรจะเป็นแม่โคที่ตั้งท้องด้วยเพื่อเป็นการย่นระยะเวลาจะได้รีดนมเร็วขึ้น</span></div><div align="left"><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">5.ควรเป็นโคที่มีประวัติการให้นมดีพอใช้และต้องปลอดจากโรคแท้งติดต่อและโรควัณโรค</span></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-18757438602135841492011-09-17T02:55:00.000-07:002011-09-19T20:58:27.664-07:00การเป็นสัด<span class="style4">การเป็นสัด(Oestrus) คือการเป็นสัตว์คือช่วงเวลาที่สัตว์เพศเมียยอมรับการผสมพันธุ์จากตัวผู้แล้วมีการตกไข่ โดยพฤติกรรมการเป็นสัดอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมน ชนิดต่างหลายอย่างนอกจากอาการยอมรับการผสมพันธุ์จากเพศผู้แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาอื่นๆ เช่นอวัยวะเพศบวมแดง มีเมือกไหล ร้องเสียงดัง กระวนกระวาย </span><br />
<div align="justify" class="size16"><span class="style4"> </span></div><div align="justify" class="listing_big_name"><span class="size16 style4"> การเป็นสัดโคเพศเมีย จะเริ่มเป็นสัดเมื่อถึงวัยสาวหรือ</span><span class="size16"><span class="style4">วัยเจริญพันธุ์(Puberty) ในโคอายุที่ถึงวัยเจริญพันธุ์ประมาณ 7-18 เดือน (โดยเฉลี่ยประมาณ 10 เดือน) ขึ้นกับการเลี้ยงดู ความสมบูรณ์ของอาหาร การได้รับอาหารไม่เพียงพอ จะทำให้โคเจริญพันธุ์ช้า (delay puberty) ปัจจัยที่มีผลมากต่อวัยเจริญพันธุ์คือน้ำหนักตัว เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวที่โตเต็มที่ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับ ชนิดของโคแต่ละสายพันธุ์ด้วย</span></span></div><div align="justify" class="listing_big_name"><span class="style4"><br />
</span><span class="size16 style4"><span class="size16"> </span>โดยปกติโคจะมีวงรอบการเป็นสัดเฉลี่ย 20-21 วัน (18-24 วัน) โคพันธุ์เมืองร้อน (Bos indicus) แสดงการเป็นสัดสั้นโดยเฉลี่ยแสดงอาการเป็นสัด ประมาณ 11 ชั่วโมง และสัดเริ่มแสดงอาการในช่วงเย็นของวัน หลักจากแสดงอาการเป็นสัดแล้วจะเกิดการตกไข่ (Ovulation) โดยประมาณ 25-26 ชั่วโมง ส่วนโคพันธุ์เมืองหนาว (Bos taurus) จะแสดงอาการเป็นสัดที่นานกว่าประมาณ 18 ชั่วโมง และเกิดการตกไข่ประมาณ 28-31 ชั่วโมงหลังการเป็นสัด</span></div><div align="justify" class="size16"> วงรอบการเป็นสัดแบ่งเป็น 4 ระยะ ตามลักษณะพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงอวัยวะสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ที่มีความสอดคล้องกัน ซึ่งระยะทั้ง 4 คือ</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> 1. ระยะก่อนการเป็นสัด (Pro-oesturs)</div><div align="justify" class="size16"> 2. ระยะเป็นสัด (Oesturs)</div><div align="justify" class="size16"> 3. ระยะหลังการเป็นสัด (Metoesturs)</div><div align="justify" class="size16"> 4. ระยะไม่เป็นสัดในวงรอบ (Dioesturs)</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> วงรอบการเป็นสัดสามารถแบ่งเป็น 2 ระยะตามการพบฟอลลิเคิล และคอร์ปัสลูเทียม คือระยะที่ฟอลลิเคิลเจริญทำงานมากเรียกว่า ระยะฟอลลิคิวลาเฟส (Follicular phase) เป็นช่วงที่รวมระยะก่อนเป็นสัดและระยะเป็นสัด ส่วนระยะที่มีคอร์ปัสลูเทียมทำงานเรียกว่า ระยะลุเทียลเฟส (luteal phase) โดยรวมระยะหลังการเป็นสัดและระยะไม่เป็นสัดในวงรอบ</div><div align="justify"><br />
<strong class="listing_big_name"><span style="color: orange;">วงรอบการเป็นสัด</span></strong></div><div align="justify"><br />
<span class="size16"> </span><span class="title_brown16">1. ระยะก่อนการเป็นสัด (Pro-oesturs)</span></div><div align="justify"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> คือวันที่ 17-20 หลังการเป็นสัด เป็นระยะที่โคเข้าสู่การเป็นสัดรอบใหม่ ระบบสืบพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลง ฟอลลิเคิล (follicle) เจริญอย่างรวดเร็ว คอร์ปัสลูเทียม (corpus luteum) จากการเป็นสัดในรอบที่แล้ว ฝ่ออย่างรวดเร็ว มดลูกมีการเปลี่ยนแปลง มีเลือดเลี้ยงมาก ต่อมสร้างสารคัดหลั่งเจริญขยายตัวในส่วนคอมดลูก (cervix) และช่องคลอด (vagina) โดยช่องคลอดจะบวมแดงมีเมือกใสเหนียวไหลจากช่องคลอดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> <span class="title_brown16"> 2. ระยะเป็นสัด (Oesturs)</span></div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> คือ สันที่ 0 ของการเป็นสัด เป็นระยะที่ ฟอลลิเคิลขนาดใหญ่ (dominant follicle) มีการเจริญเติบโตเต็มที่ และเกิดการตกไข่ตามมา (ovulation) โคจะแสดงการเป็นสัดโดยเฉลี่ยประมาณ 4-24 ชั่วโมง และ โคจะแสดงการยอมรับการผสม และยืนนิ่งเมื่อมีตัวอื่นปีน (standing heat)</div><div align="justify" class="size16"> ระยะการเป็นสัด โคจะแสดงอาการต่าง ๆ เช่น กระวนกระวาย ถ้าเป็นวัวระยะให้นมจะมีการสร้างน้ำนมลดลง การยืนนิ่งยอมเป็นปีนของตัวอื่น พบเมือกหรือสารคัดหลั่งจากมดลูก คอมดลูก และช่องคลอดมีมากที่สุด เยื่อเมือกของปากช่องคลอดจะแดงมีเลือดคลั่ง</div><div align="justify" class="size16"> ในระยะนี้ ระดับฮอร์โมน แอลเอช LH (Luteinzing Hormone) จะเพิ่มขึ้นสูงมากก่อนที่จะตกไข่ ตามมาหลังจากที่แสดงอาการเป็นสัด ประมาณ 30 ชั่วโมง</div><div align="justify" class="size16"> การผสมเทียม (AI) ระยะที่เหมาะสมคือ 12-18 ชั่วโมง หลักการยืนนั่ง (standing heat)</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> <span class="title_brown16">3. <span dir="ltr">ระยะหลังการเป็นสัด (Metoesturs)</span></span></div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> คือวันที่ 2-4 ของการเป็นสัด ในระยะนี้โคจะหยุดแสดงอาการเป็นสัด และรังไข่มีการสร้าง คอร์ปัสลูเตียม (Corpus luteum) และเริ่มมีการแสดงฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน<br />
ในบางครั้งอาจจะพบว่าเลือดออกมาจากช่องคลอด (Metoestrus bleeding) ได้ในระยะนี้ ปกติพบประมาณ 90% และไม่เกิน 45% ในแม่วัว ซึ่งเป็นลักษณะเมือกปนเลือดพบติดตามหลังหรือบริเวณช่องคลอดด้านนอก<br />
การพบเลือดจากช่องคลอด ไม่ได้บ่งบอกว่าการผสมพันธุ์ ที่เกิดขึ้นนั้ จะทำให้ผสมติดหรือผสมไม่ติด</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> <span class="title_brown16">4. <span dir="ltr">ระยะไม่เป็นสัดในวงรอบ (Dioesturs)</span></span></div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> คือ วันที่ 5-17 หลังจกาการเป็นสัด เป็นระยะที่ ระยะที่มีคอร์ปัสลูเทียม (CL) เจริญเติบโตเต็มที่มดลูกพร้อมรับการตั้งท้อง มีระดับโปรเจสเตอโรน (progesterone) สูง คอมดลูกปิดมีเมือกเหนียวปิดอยู่ เยื่อเมือกช่องคลอดค่อนข้างซีด</div><div class="size16"> ในช่วงท้ายของระยะนี้ถ้าโคไม่มีการตั้งท้อง ก็จะมีการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) จากมดลูก (Uterus) มาสลายคอร์ปัสลูเทียม (CL) หลังจากนั้นก็จะมีการเริ่มขบวนการเป็นสัด (Estrous cycle) ในรอบใหม่</div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div class="listing_big_name"><strong><span style="color: orange;">ต่อมไร้ท่อและอวัยวะที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมนระบบสืบพันธุ์</span></strong></div><div align="justify" class="size16"><br />
</div><div align="justify" class="size16"> 1. <span dir="ltr">ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus)</span></div><div align="justify" class="size16"><span dir="ltr"> 2.</span><span dir="ltr">ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary gland)</span> </div><div align="justify" class="size16"> 3. <span dir="ltr">รังไข่ (Ovary)</span></div><div align="justify" class="size16"><span dir="ltr"> 4. </span><span dir="ltr">มดลูก (Uterus)</span></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-88354558778475250222011-09-17T02:45:00.000-07:002011-09-17T08:36:59.117-07:00โรคของโคนมโรคโคนมและโคเนื้อ เกิดเจ็บป่วยด้วยโรคแบบเดียวกัน แต่บางโรคเกิดขึ้นกับโคนมบ่อยกว่าโคเนื้อ โรคโคนมบางโรค เชื้อสาเหตุสามารถติดต่อมาถึงคนโดยผ่านทางน้ำนม ดังนั้นคนที่บริโภคน้ำนมดิบที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคจึงมีโอกาสติดเชื้อโรคจากโคนมได้ เช่น วัณโรค (Tuberculosis) และโรคบรูเซลโลซิล (Brucellosis) น้ำนมโคที่จะได้คุณภาพสูงโคนมจะต้องถูกควบคุมตรวจสอบโรคบางโรคเป็นประจำ โรคของโคนมที่น่าสนใจบางโรค ได้แก่<br />
<br />
<span style="color: orange;"><b>เต้านมอักเสบ</b> </span><br />
<div><b><br />
</b></div><div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbhtoifd9rtRTEGb73dgArmAB-sXFg9CQbZX5EJ9UR3ryaolrFAt_mygBHC960K6oFQNMXvBXQhyphenhyphenauIIS_gQzWw_yQ4flgGefXr1jjfmXqlkjNtvHtMG4nNWqvTnGvf1zHIPxNPPUwTDJw/s320/mastitis.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b></div>เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับโคนมและมีผลเสียหายต่อการให้น้ำนมและสุขภาพโค การเกิดโรคเต้านมอักเสบ สร้างความเสียหายดังนี้<br />
<ul><li>การให้น้ำนมของแม่โคลดลง</li>
<li>ทำให้เสียเวลาในการดูแลรักษา</li>
<li>เสียค่าใช้ยา และค่ารักษาพยาบาล</li>
<li>น้ำนมจากโคที่เป็นโรคเต้านมอักเสบต้องเททิ้ง</li>
<li>ทำให้ต้องคัดแม่โคออกจากฝูง</li>
</ul><br />
เต้านมอักเสบเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ลุกลามเข้าไปในเต้านมโดยผ่านเข้าไปทางรูนม เชื้อสาเหตุมีมากมายหลายชนิด ที่พบบ่อยมักจะเป็นพวก <i>Streptococcus</i><i> </i>หรือ Staphylococcus<br />
โรคเต้านมอักเสบที่มีอาการรุนแรง โคจะแสดงอาการดังนี้<br />
<ul><li>เต้านมอักเสบ</li>
<li>เต้านมบวม ร้อน บริเวณติดเชื้อเป็นไตแข็ง</li>
<li>น้ำนมลด</li>
<li>น้ำนมที่รีดได้ผิดปกติ เช่น น้ำนมจับตัวเป็นเส้น มีตะกอนสีเหลือง มีเลือดปน</li>
<li>แม่โคไม่กินอาหาร ซึม มีไข้</li>
</ul><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-style: italic;">Streptococcus</span></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTNI0KJnDUg_553BaORuf1PI8ExpAgRueYbEvT7x-Q0x2KXSvhyphenhyphenyxKx-8bJVMNamPNJQlRc4uiIqOtSWGTmVDvF278MLXn5N6A8UOP4Sonb_D_kOO4FtEyUCKN3SOz717c2P6de1aNr_6b/s320/Streptococcus-2.jpg" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSIKd_9miQk_7_ho_GRcfqye3feH7u9S71UPgVy5qMKmVc2eidd5wGInI8K-jxC-mloATOxamJFYXx2A0JBK_9axRBKLuqkhh6RqJxvS2dqD6sK602ymuzJdiOIG5nmMmMN9ZqJyPuMrrt/s320/Streptococcus-1.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">Staphylococcus</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEix4EoV9BaYfhKI-kAQPlvhVNICK6RXd-oNbjLURP6-UXGszzwcj-PEvFxb0QbhoRFqz6kHBydGTnbCNz6hw6KifukeM9i9hqrT0W2j3eH4NAd4gtKCJGqn8s2ToelqRsVt-qgfnZi1Q20P/s320/Staphylococcus-1.jpg" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijQliOjgIciD9Pp8rtkSzhVLsBOUC9qGlByzC3wWrwTzoQTehEDE55-AESsvf-2OKvH8mIw2QrgX5Bj80GuPxhAFT_5D0n-Sb4QdCg-NTfEmfAr1H8tsLmXA1sBVcD6GrNJBYeTZ3hScK9/s320/Staphylococcus-2.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>อาการเต้านมอักเสบเรื้อรัง โคมีอาการดังนี้<br />
<ul><li>น้ำนมที่รีดได้ผิดปกติ (มีตะกอน เป็นเกล็ด นมใส)</li>
<li>เต้านมบวมและแข็ง ต่อมาอาจจะหายเป็นปกติ</li>
<li>การให้น้ำนมของแม่โคลดลง</li>
</ul><div><br />
</div>การป้องกันและรักษาโรคเต้านมอักเสบทำได้โดย<br />
1. รักษาความสะอาดของคอก อุปกรณ์ และทุกขั้นตอนของการรีด<br />
2. ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดเต้านมให้สะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดก่อนรีดทุกครั้ง<br />
3. อย่าใช้เวลารีดนมนานเกินไป รีดนมให้หมดเต้า แล้วจุ่มหัวนมหรือเช็ดซ้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันทีที่รีดเสร็จ<br />
4. อย่าเปลี่ยนคนรีดโดยไม่จำเป็น และรีดให้ตรงเวลา<br />
5. ตรวจเช็คน้ำนมทุกเต้าก่อนรีดลงถังโดยรีดใส่ภาชนะสีเข้ม และถ้าพบความผิดปกติ ให้รีดไปทิ้งห่างไกลจากคอก แล้วล้างมือให้สะอาด<br />
6. รีดโคเต้านมอักเสบเป็นตัวสุดท้าย และรีดเต้าที่อักเสบเป็นเต้าสุดท้ายด้วย<br />
7. รักษาทันทีที่พบว่าโคเต้านมอักเสบ แล้วรีบแจ้งหรือขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นรุนแรง (ดูรายละเอียดจากเรื่องยาสอดเต้านม)<br />
8. ควรสอดยาป้องกันเต้านมอักเสบให้แก่โคที่เคยเป็นโรคนี้เมื่อหยุดรีดนม </div><div><br />
</div><div><br />
<b><span style="color: orange;">รกค้าง (Retained placenta)</span></b><br />
การเกิดรกค้างหมายถึงว่าหลังคลอดลูกแม่โคไม่ได้ขับรกออกมาในช่วง 12-14 ชั่วโมง ปกติแล้วร้อยละ 10-20 ของแม่โคมักจะเกิดรกค้าง ถ้าเราเกิดขึ้นบ่อยครั้งสูงกว่าเกณฑ์ปกติแสดงว่าผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด สาเหตุของรกค้างเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้<br />
<ul><li>เกิดการติดเชื้อโรคในช่องอวัยวะสืบพันธุ์ของแม่โคขณะอุ้มท้อง</li>
<li>แม่โคได้รับวิตามิน A หรือ E ธาตุไอโอดีน และซิลิเนียมไม่เพียงพอ</li>
<li>แคลเซียมและฟอสฟอรัสในอาหารไม่สมดุล</li>
<li>แม่โคอ้วนมากเกินไป (ได้รับอาหารข้นมากเกินไป)</li>
<li>เกิดความเครียดเนื่องจากคลอดลูกเร็วเกินไป</li>
</ul><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxKlKQYNlg5j4HrRIocNercrELtWRmUsbyT1y9WtqDC24WNlByRiQ2nzJ75zAJKfHFGnanTIaHuyWtlGQvhPiZQEiAgD-sIIYjEC0xGB_490LkdUkryc6sa6uL76f6HFU-6p5lBHkzUQx9/s320/retained-placenta2.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLmsFf1RafJxAtgz9mpkQ96ivTD6EyckMCF14AwvU9NJFxUtw1Zh-DuQ7B6a8CAeTmbFN0mDXVjD09c9NJmzdYn-VONRPNs6vtwBPUk8KZxzjhnSk0mE5iSLoSp4G-5img60aj5c9eWSka/s320/retained-placenta1.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: left;">การจัดการที่ดีช่วยลดการเกิดค้างได้ กรณีที่เกิดรกค้างกับแม่โคให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรักษาต่อไป</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;"><b><span style="color: orange;">ไข้นม (Milk fever)</span></b></div><div style="text-align: left;">ไข้นมเกิดจากการขาดแคลเซียมในเลือด มักเกิดกับแม่โคที่มีอายุน้อย แม่โคที่ให้นมสูง มักเกิดภายใน 2-3 วันหลังคลอดลูก</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">อาการของไข้นม ประกอบด้วย</div><div style="text-align: left;"><ul><li>แม่โคเบื่ออาหาร</li>
<li>แม่โคมีอาการตื่นเต้น</li>
<li>ซึม ตัวเย็น เนื้อจมูก (muzzle) แห้ง</li>
<li>เป็นอัมพาต ล้มลงนอน เอาหัวพาดไปกับลำตัว</li>
<li>ต่อมานอนเอาข้างลง เกร็งยืดตัวหัวออก</li>
<li>มีอาการท้องอืด</li>
</ul></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv9QGIgvqi5l7jsQ4WrSq4vcP2pzPG9ynxarRwV3kCU4AE5_o5LinEaIVFx1pu6GhKuQ5F834lu874aPoOdDLNc20EXpieBIzzo27jAcyUjvfIQVkKdmK7KDtxB9RF7YxY3EKCflus-8RI/s320/Milk+fever-1.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtOZtQr5Uhbyv8Awvr0mKVM-FPTjxtyyvhAGRTvHq9k3QdkoeMKPjJOUkSAszHR4LndSIHIimqtJuhoqxFFC2u8AXigZQJS1WArhZZxAlt31cezsTy7y75xJG1S75sX-Ep4V9sceEWtNgK/s320/Milk+fever-2.bmp" /></div><div style="text-align: left;">การป้องกันทำได้โดยการจัดสัดส่วนอาหารให้มีโภชนะสมดุลปรับอัตราส่วน Ca : P ให้ถูกต้อง การรักษาสัตว์ป่วยทำได้โดยการฉีดยาสารละลายแคลเซียมเข้าเส้นเลือด</div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-78594550079302563392011-09-16T21:38:00.001-07:002011-09-17T08:58:15.230-07:00การเลี้ยงโคนม<b><span style="color: orange;">การเลี้ยงดูลูกโค</span></b><br />
ก่อนที่จะพูดถึงการเลี้ยงลูกโค ควรจะทำความรู้รู้จักกับนมน้ำเหลืองก่อน นมน้ำเหลือง คือน้ำนมที่ผลิต ออกมาจากแม่โคในระยะแรกคลอดจะผลิตออกมานานประมาณ 2-5 วัน ต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นนมธรรมดา ลักษณะของนมน้ำเหลืองจะมีสีขาวปนเหลือง มีรสขม มีคุณสมบัติคือ จะมีภูมิคุ้มโรค อีกทั้งช่วยป้องกันโรคที่ เกิดกับระบบลำไส้และผิวหนังและยังเป็นยาระบายท้องอ่อน ๆ ของลูกโคได้อีกด้วย มีคุณค่าทางอาหารสูงเมื่อ ลูกโคคลอดมาใหม่ ๆ ควรแยกลูกโคออกจากแม่โคทันที และควรจะให้กินนมน้ำเหลืองจากแม่โคภายใน 6 ชั่วโมงหลังคลอด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงโดยเร็ว ลูกโคควรได้กินนมน้ำเหลืองราว 2-5 วัน ให้กินวันละ 2 เวลา เช้า, เย็น<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">วิธีการฝึกให้ลูกโคกินนม</span></b><br />
<br />
อาจฝึกได้โดยให้ลูกโคกินนมจากถังพลาสติกหรืออะลูมิเนียมหัดให้กินโดยใช้นิ้วมือจุ่มลงในน้ำนมให้เปียก แล้วแหย่เข้าไปในปากลูกโคให้ลูกโคดูด แล้วกดหัวลูกโคให้ปากจุ่มลงไปในน้ำนม ลูกโคจะดูดนิ้วมือ ขณะเดียวกันน้ำนมก็จะไหลเข้าไปได้หัดดูดนิ้วมือเช่นนี้ประมาณ 3-4 ครั้งต่อ ๆ ไปจึงค่อย ๆ ดึงนิ้วมือออก ปล่อยให้ลูกโคดูดกินเองต่อไป ทำเช่นนี้ประมาณ 1-3 วัน ลูกโคก็จะค่อย ๆ เคยชิน สามารถดูดจากถังเองได้<br />
วิธีเลี้ยงลูกโคระยะแรกอาจปฏิบัติได้ดังนี้<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjm6TDA7kHNq7S3_D7HPNuiSh2RInj_ojq62uezSAsAwXYgooIm9RyxbAuQrwXViBifyCofTQRffKxYhu4bDxWyVP1iGahIy8gP9jEoZOc6VJ6o_4TNy6nbhrxNZQRBJv-ZSrdEIwUqbk7/s320/cow1.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>นมแม่ ให้ลูกโคกินต่อหลังจากนมน้ำเหลืองหมดจนลูกโคอายุได้ 1 เดือน (4 สัปดาห์) แล้วจึงให้กินนมเทียม หรือนมผงละลายน้ำต่อจนอายุได้ 3-4 เดือน (12-16 สัปดาห์) จึงหย่านม<br />
นมเทียม หรือนมผงละลายน้ำ สำหรับการเลี้ยงลูกโคเพศเมีย ควรให้กินต่อจากนมแม่เมื่ออายุได้ 1 เดือน (4 สัปดาห์) แต่สำหรับลูกโคเพศผู้ ควรให้กินนมแม่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ จึงเริ่มให้กินนมเทียมหรือนมผง ละลายน้ำ และให้กินต่อไปจนหย่านมหรืออายุได้ประมาณ 3-4 เดือน (12-16 สัปดาห์)<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: red;">หมายเหตุ </span></b>การเลี้ยงดูลูกโคนมดังกล่าวมาแล้ว เป็นการเลี้ยงดูลูกโคแบบ "ให้นมจำกัดหรือให้อาหารข้น ลูกโคอ่อน" ไม่ว่าเลี้ยงดูด้วยนมแม่หรือนมเทียมกล่าวคือ การให้นมควรจะให้ในปริมาณที่เกือบคงที่ตลอดไป คือประมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่น ลูกโคเกิดมามีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม ก็ให้นมวันละ 3-4 กิโลกรัม ตลอดไปโดยแบ่งให้เข้า 2 กิโลกรัม บ่าย 2 กิโลกรัม จนอายุหย่านมในขณะเดียวกันควรตั้งอาหารข้น สำหรับลูกโคและหญ้าแห้งคุณภาพดีวางไว้ให้ลูกโคได้ทำความรู้จักและหัดกิน ตั้งแต่ลูกโคอายุได้ 1 สัปดาห์ จนถึง 12 สัปดาห์ต่อจากนั้นให้กินหญ้าสด วิธีการดังกล่าวเป็นการหัดโดยการบังคับให้ลูกโค ช่วยเหลือตัวเอง โดยเร็วที่สุดเป็นวิธีการที่ประหยัดนมแม่โคได้มาก และรวมทั้งนมเทียมด้วย เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการเลี้ยงดู ลูกโค<br />
อนึ่ง สำหรับวิธีการผสมนมเทียม หรือนมผงละลายน้ำเราอาจใช้การผสมในอัตราส่วน 1 ต่อ 7 ถึง 10 ส่วน แต่ที่นิยมใช้คือ 1 ต่อ 8 หรือ 1 ต่อ 9 ส่วน ตัวอย่างเช่นถ้าใช้นมผง 1 กิโลกรัมก็ต้องผสมน้ำ 8 กิโลกรัม หรือ ถ้าใช้นมผง ฝ กิโลกรัม ก็ต้องผสมน้ำ 4 กิโลกรัม ในการผสมแต่ละครั้งควรคนให้เข้ากัน และต้องเติมน้ำมัน ตับปลาหรือวิตามินลงไปด้วยการผสมนมผผงแต่ละครั้งมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับท่านมีลูกโคจำนวนมาก น้อยเพียงใด</div><div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMe89cTbCfRUmvrvRGgx8nTApj-e7ZOW00bzEjGFjHkx9JnRksxQbB4VLehEwOK71AcqIFHqdRY_xebWnIWeMlMpwOi2APgIcc7cmtMcwMQA7goy4xX_69tizz_9aETE3ZQeVHPKSy9cBU/s320/cow2.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqOqcrQfx3e_l9iczE2C-OVXPYSg_t886LkMjiQ5WDj2XlaZ3Z_W99OOxYfClOvNogkaWoyJ1KjyluA2KukyUnyn0tDld3TaTK50NKGISh0pChGk6tVFatGHNpM2ipEsuY_E1KvFTKq7Be/s320/cow3.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b><span style="color: orange;">การทำเครื่องหมาย</span></b><br />
ลูกโคที่เกิดออกมาโดยมีพ่อและแม่พันธุ์เดียวกัน พ่อตัวเดียวกันก็ย่อมจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เมื่อโตขึ้น อาจจะสัตว์ไม่ได้ หรือจำผิดพลาดได้ว่าเกิดเมื่อไร พ่อแม่ชื่ออะไร หรือเบอร์อะไร และเมื่อทำการซื้อ-ขาย จะทำประวัติก็เป็นการยุ่งยากลำบาก ดังนั้นลูกโคจึงจำเป็นที่จะต้องทำเครื่องหมายเพื่อแสดงให้ทราบว่าเกิดจากพ่อแม่พันธุ์อะไร เบอร์อะไร เมื่อไหร่ ซึ่งจะเป็นการสะดวกในการทำประวัติ และป้องกันรักษาโรค ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีด้วยกันอาทิเช่น ทำเครื่องหมายโดยตัดหู ตีเบอร์ติดหู ตีเบอร์ไฟ หรืออื่น ๆ เป็นต้น และเมื่อลูกโคอายุได้ประมาณ 3-6 สัปดาห์ หรือประมาณ 1-2 เดือน ก็ควรทำการจี้เขาเพื่อทำไม่ให้มีเขาอันจะเป็นอันตรายต่อฝูงโคหรือเจ้าของสัตว์เองได้</div><div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0P98OJKqG2D3GQpA2Qvj08PCO4UEk3CFIyM7ZID3Qge29Hu3-GK2Z7Mbo1qWIEbPZc8Hymfcf-g3Pq0K82Sk4pu7CQDbT4koklrCw1Ip18RnSQvO_zZAX7WvZr_0a1Px2-AxcyYVltwYg/s320/ear-tag1.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr0TL2llFAKd9T4sAfYo2LetneIh0aX5TEwmhMRqJaz5ND_zIfFwtmUp2UR9e0lSWQEpGhVvDY7mHqvR05Anwicvy90EZjWqWXHJgpH3MocL6qRlhyphenhyphenIRadjiKrv7bpK0VZrfmATgEzhL3L/s320/ear-tag3.jpg" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkVhHh_oyqNw_hwJKxcAkgd3n5mhhWOpF2KsZBA3Ytkq99EhtdhDwVXDc-LYOyG4kbBtQ356qn08Qb98uobbs8eaYJZZalNpeuEZhFZbpLySSn249V273pNqQCMU-6xnpB0derv_PNJuX_/s320/ear-tag2.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b><span style="color: orange;">การเลี้ยงโครุ่น-โคสาว</span></b><br />
เมื่อลูกโคอายุได้ 4 เดือน ระบบการย่อยได้พัฒนาดีขึ้นในช่วงนี้อัตราการตายจะต่ำ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าพ้นช่วงระยะอันตรายแล้วจากระยะนี้ถึงระยะโครุ่น คืออายุประมาณ 180-205 วัน ( น้ำหนักประมาณ 120-150 กิโลกรัม ) ซึ่งระยะนี้ถึงระยะโครุ่น คืออายุประมาณ 180-205 วัน (น้ำหนักประมาณ 120-150 กิโลกรัม) ซึ่ง ระยะนี้โคจะสามารถกินหญ้าได้ดีแล้ว จากนั้นก็จะถึงระยะการเป็นโคสาว (น้ำหนักประมาณ 200-250 กิโลกรัม) ต่อไปก็จะถึงระยะเกณฑ์ผสมพันธุ์ คืออายุได้ประมาณ 18-22 เดือน (น้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม หรือประมาณ 60-70% ของน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่) ในช่วงดังกล่าวนี้ โคจะเจริญอย่างรวดเร็ว ควรเพิ่มอาหารผสมให้บ้างเป็นวันละ 1-2 กิโลกรัม และให้หญ้ากินเต็มที่ ในกรณีที่เลี้ยงแบบปล่อยลงใน แปลงหญ้าก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น เพราะโคได้ออกกำลังกายและยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและแรงงาน ได้มากอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามในการให้อาหารผสม (อาหารข้น) แก่โครุ่น-โคสาว ในปริมาณมากน้อย เท่าใดนั้นให้พิจารณาถึงคุณภาพของหญ้าที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นสำคัญ<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTUDrEnNQH8VZ-T6C28MKiICxZQin8tOkRCncqhuqFpSiF4OECr1xFbs0Vu9EhAAhjkSOQDoW06nyIPURCN-vmxT8ps3IoJ7tjkUOPyt1ipt25TQy_ShIPn6f0rivQXs1PeiqYakC-qly2/s320/heifer.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b><span style="color: orange;">การเลี้ยงและดูแลโครีดนม</span></b><br />
แม่โคจะให้นมหรือมีน้ำนมให้รีดก็ต่อเมื่อหลังจากคลอดลูกในแต่ละครั้งซึ่งจะให้นมเป็นระยะยาว, สั้น มากน้อยต่างกกันขึ้นกับความสามารถของแม่โคแต่ละตัว, พันธุ์และปัจจัยอื่น ๆ อีก แต่โดยทั่วไปจะรีดนม ได้ประมาณ 5-10 เดือน นมน้ำเหลืองควรจะรีดให้ลูกโคกินจนหมดไม่ควรนำส่งเข้าโรงงานเป็นอันขาดและ ควรให้อาหารแก่นมโคอย่างเพียงพอเพื่อแม่โคจะได้ไปสร้างน้ำนมและเสริมสร้างร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่ยังไม่ สมบูรณ์ได้อย่างเพียงพอ ภายหลังจากคลอดลูกโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 30-70 วันหลังจากคลอดมดลูกจะ เริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติ แม่โคจะเริ่มเป็นสัดอีกแต่อย่างไรก็ตามเมื่อแม่โคแสดงอาการเป็นสัดภายหลังคลอด น้อยกว่า 25 วันยังไม่ควรให้ผสม เพราะมดลูกและอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์เพิ่งฟื้นตัวใหม่ ๆ ยังไม่เข้าสู่ สภาพปกติ ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ควรจะรอให้เป็นสัดครั้งที่ 2 เกิดขึ้นจึงค่อยผสมซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ เวลาประมาณ 45-72 วัน หลังจากคลอด</div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-58341808946702524822011-09-16T21:35:00.002-07:002011-09-17T09:00:03.789-07:00การตัดแต่งกีบโคนม<div style="text-align: justify;"> การดูแลกีบเท้าของโคเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับการจัดการฟาร์มเพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำนมที่ดีจากแม่โคนม เนื่องจากส่วนกีบเท้าต้องทำหน้าที่คล้ายกับรองเท้าของมนุษย์ กล่าวคือต้องปกป้องอันตรายหรือสิ่งที่อาจทำให้ เกิดความเจ็บปวดแก่ส่วนเท้าที่ใช้ก้าวเดินบนพื้นดินแล้ว กีบเท้ายังต้องแบกรับตัวโค ซึ่งมีน้ำหนักมาก โดยเฉลี่ยแม่โคมีน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัมปัญหาที่เกิดกับกีบเท้าของโคคือ เมื่อกีบมีลักษณะผิดปกติหรือเกิดความเสียหายขึ้น โคไม่สามารถจะเปลี่ยน กีบเท้าได้ ไม่เหมือนมนุษย์ ซึ่งหากรองเท้าที่สวมใส่เกิดชำรุดใช้การไม่ดีก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ กีบเท้าโคมี ลักษณะเหมือนเล็บเท้าของมนุษย์ ที่สามารถงอกยาวได้และเป็นส่วนที่แข็งเกิดจากเนื้อเยื่อสร้างกีบของนิ้วเท้า ที่สร้างออกมาตลอดเวลาเนื้อเยื่อนิ้วเท้าส่วนที่สร้างกีบของโคนั้นยังสามารถบ่งบอกสุขภาพของโคได้ กล่าวคือหากแม่โคซึ่งมีน้ำหนักมาก เกิดภาวะความเครียดหรืออยู่ในช่วงระยะตั้งท้องหรือในช่วงระยะที่ขาดสารอาหาร เช่น ฤดูแล้ง เป็นต้น การสร้างเนื้อกีบจะเกิดความผิดปกติ อาจบิดเบี้ยวโค้งงอ หรือเป็นร่อง และอาจเกิดความเจ็บปวดขึ้นภายในเนื้อเยื่อ สร้างกีบอีกด้วย ทำให้แม่โคเจ็บเท้าและให้ผลผลิตน้ำนมลดลง การดูแลและแก้ไขให้กีบเท้ามีรูปร่างลักษณะปกติและแข็งแรง จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างสม่ำเสมอ</div><br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0sYVVcGp9RazCHPuub-ySdLIlyKvgKbAzgaoLwk6iR4wTvFkSE0eGJ8dN878JkmVQ2ssG6HS3UiHrMOWIKqKEK6ItOSv4gSgc7TYhBfvYH_pdsDKAZOQYgzYNgYWOzcxjogdKNqsZR9ST/s320/DSC02199.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><span style="color: orange; font-size: medium;">การตัดแต่งกีบเท้าโดยทั่วไป</span></span></span></b></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color: #000099;"><b><br />
<span style="font-size: medium;"></span></b></span></div>การตัดแต่งกีบโคให้เข้ารูปปกตินั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถกระทำได้ทุกคน สิ่งสำคัญก็คือ ความชำนาญที่ ต้องผ่านการฝึกสอนและปฏิบัติด้วยตนเองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ตัดแต่งกีบ นั้นต้องพร้อม โดยเฉพาะมีดแต่งกีบต้องมีความคมมากและได้รับการฝนคมอย่างถูกต้อง<br />
ขั้นตอนการปฏิบัติการตัดแต่งกีบโค ประกอบด้วย<br />
1. การควบคุมขาโค<br />
2. การใช้คีมตัดกีบและมีดแต่งกีบ<br />
3. การตรวจสอบ วางแผน และลงมือตัดแต่งกีบ<br />
<br />
<div><b><span style="color: orange;">เครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการตัดแต่งกีบโคนม</span></b><br />
<br />
1. มีดแต่งกีบ ลักษณะใบมีดโค้ง ปลายงอหักมุม คมมีดด้านในหน้าเดียว มีด้ามจับแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบสำหรับบุคคลที่ถนัดมือขวา และแบบสำหรับบุคคลที่ถนัดมือซ้าย ตัวอย่างดังรูป<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi421fmwQyohMXH0HG_wK2vuGyGSY2eBcxuRD-f7T0HzSdTYSBf6997R2SJQmWUeDLHc8E6rtK_821Om6JMSEZ_SDQYAMWQZ-mqIbkrAmsk_TnGxkozbf7xHniQhA41kEfTLEbLW5sxn4i2/s320/1.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>2. คีมตัดกีบ ลักษณะคล้ายคีมปากนกแก้ว แต่ขนาดใหญ่กว่า ตัวอย่างดังรูป<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2NFK9C7aXrlUL_hxi70pyY-9cCJVGzLBGgnRG4vts0ewR4-1j9HKUX3aBmgO49TN5q6sCcrl_dijasPyH2ctm-DILz9DBSIJHIPm8gvCBMUVqQ4UL1xZoKyJRIAwuO3iz7M26pn5K_8hK/s320/2.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>3. อุปกรณ์อื่น ๆ ได้แก่ สิ่ว ฆ้อน หมอนรองกีบ ถุงหนังหุ้มกีบ และเครื่องมือป้องกันโคเตะ เป็นต้น<br />
<br />
<span style="color: orange;"><b>การควบคุมขาโค</b> </span><br />
<div><br />
ในกรณีใช้อุปกรณ์ช่วยยกและบังคับขาโค<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_iZGQgGo0qFGx-sVhww46ngd_O9uynpTwmWvl8vDVCdBqV0Gwlr4w7QgtEjllx2jXZPu7rd4vJSSlJHl6qrLv2C8M8wVriFuoYFiUPK2vEm09c9Ux9kdy8UZJdiyxw-VsyPbzw4ZP9Bgb/s320/3.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>การควบคุมโคและขาโค ควรมีผู้ช่วยประคองตัวโค ในขณะที่ผู้ตัดแต่งกีบลงมือทำงาน การยกขาหลังขึ้นสามารถใช้เชือกผูกรัดขาโคบริเวณข้อเท้าดึงขึ้นรั้งกับคานที่อยู่เหนือขึ้นไป หลังจากนั้นผู้ตัดแต่งกีบจะต้องเข้า ควบคุมขานั้นทันที่ เพื่อไม่ให้โคเสียศูนย์ ซึ่งอาจทำให้ล้มหรือบาดเจ็บได้ ในกรณียกขาโคด้วยมือ (เฉพาะกรณี โคเชื่องมาก เท่านั้น)<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHdL9_4JqWLvLOCVESEiE5hqiq-cJ-rs3_cFGrbQG5flcefaUgVMydjC9JTz4MKbVc216rpYpuOeW1rxetT5KsBCLIV9eQ_At0Waj_vwpOYXSH3HdbppLQhUE_c_d5TGYDwDza_eK-fd_V/s320/4.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b><span style="color: orange;">การยกขาหน้าขวาด้วยมือ</span></b> ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้<br />
1. ยืนชิดตัวโค สอดเข่าของผู้ปฏิบัติเข้าไปบริเวณพับในด้านหน้าของขาหน้าของโค<br />
2. โน้มตัวลง พร้อมกับสอดแขนขวาชิดลำตัวโค ลงไประหว่างขาพับด้านหลังของขาหน้าโค<br />
3. โน้มหัวไหล่ขวาดันตัวโค ให้น้ำหนักตัวโคถ่ายเทไปยังขาหน้าซ้าย<br />
4. ใช้มือซ้าย จับข้อเท้าโคยกขึ้น แล้ววางขาหน้าของโค บนหน้าขาของผู้ปฏิบัติ<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">การยกขาหลังซ้ายด้วยมือ</span></b> ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้<br />
1. สอดเข่าซ้ายของผู้ปฏิบัติชิดข้อขาหลังซ้ายของโค<br />
2. โน้มตัวลง พร้อมกับสอดแขนซ้ายลงไปตามขาหลังด้านพับในจนถึงข้อเท้า<br />
3. โน้มตัว ดันตัวโคให้น้ำหนักโค ถ่ายเทลงไปที่ขาอีกข้างของโค<br />
4. ยกข้อเท้าขาหลังขึ้น วางบนข้อเข่าของผู้ปฏิบัติ<br />
<br />
<span class="Apple-style-span" style="color: red;"><b>ข้อควรระวัง</b></span> ในระหว่างการจับยกขาหลัง ผู้ปฏิบัติต้องระวังอย่ายืนบริเวณด้านหลังของขาหลังของโคเป็นอันขาด <br />
<div><br />
</div><div><b><span style="color: orange;">การจับมีดสำหรับการตัดแต่งกีบโคนม</span></b><br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmr_TAKmekGtSOA0NEA1RZGCIdgzgvBHto2XAWCj7uKco678UJqd0yDVS9yYItasXqyuwPC6LU8fTRm3YMXbQ1f6Rt2SIopcwUSkg6zuBMO1Mn9IATOZaVwdy40ULbVtZzddjUBq_65NXE/s320/5.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>1. เลือกใช้มีดแต่งกีบโค ให้เหมาะกับมือที่ถนัด แล้วจับด้ามมีดให้แน่น<br />
2. การปาดกีบ ใช้วิธีปาดขึ้น หรือปาดลง โดยการหมุนเปลี่ยนข้อมือ<br />
3. ในระหว่างการปาดกีบทุกครั้ง ให้ระวังนิ้วมืออาจได้รับอันตรายได้ โดยการวางนิ้วมือให้อยู่หลังคมมีดเสมอ<br />
<br />
<div><b><span style="color: orange;">ขั้นตอนการตัดแต่งกีบเท้าหลัง</span></b><br />
<br />
เริ่มจากกีบในของขาหลัง<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjatXOYQi7dwqT52WSmnfz1Vv2_jgW-K0cJhy9xn3KB6aAmjq8CUZTozrLiLF_ixySDYZsM4VtL4y_pM3vST5iVw5ucHolsxDX0wj8u-9TtxY4k_e12-7CQWu-0YeMTqn9F3T6B3JIfFNWR/s320/6.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>1. กำหนดความยาว และความหนาของกีบ ที่ต้องการตัดออก<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzZPY7NstNl0TwDV7fg2Pvz6JBIgC1nlyGZ6meyGfiaJ7crHzTcGrnmLPDSse9ghQh5BSG_9upBPsw0qN6S-4YvOJYHVNAbgjkCtdWlgmvWK0dTZP0a7pQ05wF6Gupi-EaYuMuk0hjVEfW/s320/7.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>2. ใช้คีมหรือสิ่ว ตัดปลายกีบส่วนที่ยาวเกินออก<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgT9TFhKx5yhMVEPaZ-QnQF5KSCJ61B7I-C0Dbi9eYi1r5T2A8UwoD1qoldk30B9NXdEgTm12lWMknSnknUS_CDt-EiNpLWjBCPYZc_1_mOBQ5WMXwlwSFjAQ8jk_ff731ppvKWg6gk7YKj/s320/8.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>3. ใช้คีม ขลิบขอบกีบด้านนอกของกีบใน เพื่อลดความหนาของพื้นกีบ<br />
4. ใช้มีดแต่งกีบ ปาดพื้นกีบออกเป็นแผ่นบาง ๆ ทำหลาย ๆ ครั้งจนพื้นกีบบางพอได้ระดับที่กำหนด<br />
5. ใช้มีดแต่งกีบ แต่งเว้าขอบด้านในของกีบใน ให้เรียบและไม่เกิดร่องเศษดินหินอุดตันได้<br />
6. ใช้มีดแต่งกีบ ปาดเฉือนบริเวณอื่น ๆ ของกีบ ที่ผุร่อนหรือเป็นรอยแยก เช่น ส้นเท้า เป็นต้น<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: red;">หมายเหตุ</span></b> ในกรณีที่กีบในมีขนาดเล็กอยู่แล้ว และไม่ผิดรูปทรง ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง<br />
<br />
<div><b><span style="color: orange;">การตัดแต่งกีบนอกของขาหลัง</span></b></div><div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLkRuKdTk5keDJAfbHQLTbERCps5VtQ0JXeEv-hTiQuo7K5x65Ud9XXkeA7mZuocICxYBO4HxKb1e7757XK7ZHyMhFo83TcJ1SdGQkkCwivu7Vk5luMSJP3EYRgaOcUgNrr0R497KxrssF/s320/9.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>1. กำหนดความยาว และความหนาของกีบนอก ให้เทียบเท่าหรือขนาดใกล้เคียงกับกีบใน<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHkhtSRINfJgBvZFS7P8sde4hyWsvv9xCHwYpPd8dcosJP5HWbMj4w5qfSdZT0UMf5itohPkXG6oh0x4ANtbI_r743a56k2Sp1cyOSiFjv4TCS_jmlo_mcznb1SsIfXjZrC3zzgfEcMJhJ/s320/10.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>2. ใช้คีมหรือสิ่ว ตัดปลายกีบส่วนที่ยาวเกินออก<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT82-L5z0WrveAJEuBS9WM75FsTzrGRSVmsNtcwgRT3sWwvLFlVKxdY_Y_XtUlcopApcKvbHZrj03sX6DIqiNegLSWiRS_Nu-HRAfNU3etcegw7MbfYx6O9rvsCPlQwZ6TuNTJiswVLD-H/s320/11.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>3. ใช้คีม ขลิบขอบกีบด้านนอกของกีบนอก เพื่อลดความหนาของพื้นกีบ <br />
<div><br />
</div><div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh64IOhq4hnUs0l0iPs7si92yLN3HaEzoMuf3PI_nMsj1sUz0Q6FIsF5Bqnvyhl06BtHGoUSQgrA4FBcmPSYAQM3xIEpUnZTU7xQUr-358RpIf0oCa1q7KEZkNpX6eYg5GZNakfNZCtcr8L/s320/12.gif" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw5r6gepy_d0Ia41OUJC5GjmaSk73JKOp9Ynjxy2SV0mLHmoHPRNceSqGfAHFP_ZZ2FfsLfFCb33Bqr8UtXG0EGGXxCZBbYm9pkJywaU_Hr8euFIcq8nn2d76dy9USctN0kOp8Buwlp_1o/s320/13.gif" /></div><br />
<div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div>4. ใช้มีดแต่งกีบ ปาดพื้นกีบออกเป็นแผ่นบาง ๆ ทำหลาย ๆ ครั้งจนพื้นกีบได้ระดับเท่ากีบใน<br />
<br />
<div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRMwtrJ_4b9rFPmyWPVEYdJaNYaWRc9Nxd0bXQgMLUrcxY3rAOlHpWlJ6dcs6y1KpOtKuUDx6DNUxn0RKU4uw-LqJBlBknaHheF_LHwnFOKczJQFuKV8VYwmAc8lNHW64Z47p9IPl4m7aK/s320/14.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>5. ใช้มีดแต่งกีบ แต่งเว้าขอบด้านในของกีบนอก ให้เรียบและไม่เกิดร่องเศษดินหินอุดตันได้ <br />
<div><br />
<div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglxVmHKotOOCMGfULwA3M2SbHosM1EAoKygRdWXyzH4QAvwD3D5xKSnNehyIDou40XU8OeU_x8qVxm96ONE7FF-4buJiLaSkpKD1UukH1dgXbEeGOJanL7ZwZeJApcixyQQxr0MfVzwXk0/s320/15.gif" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div>6. ใช้มีดแต่งกีบ ปาดเฉือนบริเวณอื่น ๆ ของกีบ ที่ผุร่อนหรือเป็นรอยแยก เช่น ส้นเท้า เป็นต้น<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: red;">หมายเหตุ</span></b> การปาดพื้นกีบ ควรระวังอย่าปาดลึกเกินไป อาจทำให้เกิดแผลเลือดออกได้</div><div><br />
<b><span style="color: orange;">ปัญหากีบเท้าและการป้องกันแก้ไขสันกีบสึกกร่อน</span></b></div><div><br />
สาเหตุ : กีบอยู่ในสภาพชื้นแฉะบ่อยครั้ง และสกปรก สึกกร่อนโดยเชื้อแบคทีเรีย<br />
การแก้ไข : จัดสถานที่ให้โคได้ยืนบนพื้นที่แห้งและสะอาด<br />
การป้องกัน : จัดทำอ่างน้ำยา ฟอร์มาลิน (Formalin) หรือน้ำยาจุนสี (Copper sulfate)<br />
สำหรับแช่กีบเท้าโค วันละ 1-2 ครั้ง ในอัตราส่วนน้ำยาฟอร์มาลิน (Commercial Formalin)<br />
3-5 ลิตร ในน้ำ 100 ลิตร<br />
<br />
<span class="Apple-style-span" style="color: red;"><b>หมายเหตุ</b></span> น้ำยาจุนสี อาจเกิดการสะสมในดินและพืชอาหารสัตว์จนเกิดเป็นพิษต่อสัตว์ได้ จึงควรหลีกเลี่ยง การใช้โดยเลือกใช้โดยเลือกใช้น้ำยาฟอร์มาลินแทนซึ่งไม่ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ<br />
การจัดการให้โคเดินผ่านอ่างน้ำยาฟอร์มาลิน ควรกระทำในช่วงฤดูฝนซึ่งมีการปล่อยโคแทะเล็มแปลงหญ้า ควรให้โคเดินผ่านน้ำยา วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน จนครบ 5 วัน แล้วเปลี่ยนน้ำยา ควรกระทำเป็นระยะ ๆ ในช่วง ฤดูฝนหรือในช่วงที่มีโคมีปัญหากีบสึกกร่อนบ่อย กีบเท้าของโคจะมีความแข็งแรงมากขึ้น<br />
ขนาดของอ่างแช่น้ำยาฟอร์มาลิน ควรมีขนาด กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 3-5 เมตร และลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ตัวอ่างควรตั้งอยู่ในที่โล่งแจ้ง หรือปากทางเข้าฟาร์ม โรงเรือน</div><div><br />
</div><div><b><span style="color: orange;">ภาพตัวอย่างการตัดแต่งกีบโคนมโดยใช้เครื่องตัดแต่งกีบโคนม</span></b></div><div><br />
</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWffFoO_XwL83y4XkAEXk-d238rVg_ygI5y-8hK72u5R-GCtn1PZsMyGI5DD52h_PnxJPr5zRICQITfq5hVsTgrIzxsQJehyGhUEiUIO2EsoB_1eTr3SrJcj6-yRSjBUCe_hWGDo1GtgVe/s320/DSC02201.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvFsC13aJMZaNKwyut7yHu_DPC4PmOsueHySVCdlVofc49o_1wMO67O0CN8rdHQ_T1f44E38XwsWuE39kjjqN3Bz5vgrck8y5MGJJwE8oZi2NkHsExHLF_FmHSQ_G5zM3fXY4-ob-NgLJY/s320/DSC02197.JPG" /></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-23725346241464009242011-09-16T21:35:00.000-07:002011-09-17T09:23:53.267-07:00พันธุ์โคนมที่เหมาะสมกับอากาศร้อน อากาศร้อนเป็นปัจจัยสำคัญมีผลทำให้โคนมผลผลิตจำกัด ไม่ทนต่อโรคและแมลง การเลี้ยงโคนมในเขตอากาศร้อนจึงจำเป็นต้องเลือกพันธุ์โคและวิธีการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังต่อไปนี้ <br />
<div><br />
</div><div><ol><li>คัดเลือกโคพื้นเมือง หรือโคลูกผสมที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นได้ดี และให้น้ำนมสูงพอที่จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ประเทศเขตอากาศร้อนบางประเทศมีโคในท้องถิ่นซึ่งนำมาเลื้ยงเป็นโคนมได้ เช่น โคพันธุ์เรดซินด์ (Red Sindhi) พันธุ์ซาฮิวาล (Sahiwal) ในอนุทวีปอินเดีย (Indian sub-continent) โคพันธุ์ดามัสกัส (Damascus) ในตะวันออกของเอเชีย</li>
<li>นำเข้าโคพันธุ์ต่างประเทศที่ให้นมและทนร้อนได้ดี เช่น การนำโค Australian Milking Zebu มาเลี้ยงในประเทศไทย</li>
<li>นำเข้าโคพันธุ์แท้ในเขตหนาวที่ให้นมสูง โดยที่จัดการสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูให้มันสามารถเลี้ยงและให้ผลผลิตได้ ดังเช่นการนำโคนมพันธุ์แท้โฮลสไตน์เข้ามาเลี้ยงในประเทศไทยโดยสร้างโรงเรือนและเลี้ยงดูเป็นพิเศษวิธีเช่นนี้ลงทุนสูงมาก</li>
<li>นำเข้าพ่อพันธุ์โคนมหรือน้ำเชื้อโคพันธุ์ดีมาผสมกับแม่พันธุ์พื้นเมืองทำการผสมเพิ่มระดับเลือดโคนม จนได้ระดับเลือดที่เหมาะสม คัดเลือกปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ที่เหมาะสม เช่น โครงการปรับปรุงพันธุ์โคนม TMZ (Thai Milking Zebu) ของกรมปศุสัตว์</li>
</ol><div><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><span style="color: orange;">ตัวอย่างพันธุ์โคนมทนร้อนได้ดี</span></b></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;">โคพันธุ์เรดซินด์ (Red Sindhi)</span></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjC3mbpDWza4jVq61RZjji5eCZ2PYGaeTOMBClI4T-fQP929Hml2PGHxzj8mObC3pjzfSFPMrAqEKoBAnHV_jJTYGAs-TozGlDxkpoLdSW9Ix2mc7KiOchx15jrBIgk7MbfJQRQrPF_O1yt/s320/Red+Sindhi+Cow.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;">พันธุ์ซาฮิวาล (Sahiwal)</span></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTh5FWI9V1l6_YdyNnzX67QTByH4azGUUr5LBfdUjDRYzpmJmiXy6w8MTsOSe32SH7gQ5XXrsJ4-GdcjBeGpN2pMs64xgE2iW7IIDyLaYIRYpPXRUVct66KUFT-bpQaTWTaSR5YDybfPMF/s320/sahiwal.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;">Australian Milking Zebu</span></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglTfuS0ba3I23jqSJWdJIMlXxlBj61k-TkFCMDbM0Fo45-mGyD8CBGk_CT47dRvZR0gkevaxCy6q-ePGYfC7nqQrRy1Bb4aIfRumNiNAw9LbedJdFXGN67fzW0sg3ATZNJFOkcleC7ZWUz/s320/australianmilkingzebu.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div><span class="Apple-style-span" style="color: #000099;"><b><br />
</b></span></div><div><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ตัวอย่างวิจัย โครงการปรับปรุงพันธุ์โคนม TMZ (Thai Milking Zebu) </span></b></div><div><br />
</div><div><br />
<b><span style="color: orange;">ความสำคัญและที่มาของปัญหาที่ทำการศึกษา</span></b></div><div>การพัฒนาพันธุกรรมโคนมของประเทศไทย เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต และเป็นการสร้างทางเลือกให้เกษตรกรเลือกใช้พันธุ์โคนมที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและศักยภาพของเกษตรกรเอง โครงการสร้างพันธุ์โคนม TMZ (Thai Milking Zebu) เป็นโครงการสร้างพันธุ์โคนมทางเลือกสำหรับเกษตรกร ที่ต้องการเลี้ยงโคนมที่มีระดับสายเลือดโคยุโรปในระดับที่ไม่สูงเกินไป โดยพื้นฐานทางพันธุกรรมของโคพันธุ์ TMZ เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างโคนมพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน กับโคซีบู และผสมยกระดับสายเลือดโคพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน ให้คงใว้ที่ระดับ 75 เปอร์เซ็นต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้โคนมที่ให้ผลผลิตน้ำนมปานกลาง เลี้ยงง่าย หากินเก่ง เชื่อง ไม่อั้นนม คลอดง่ายทนทานต่อโรคและแมลงต่างๆ ทนเห็บ สามารถเลี้ยงได้ดีในระดับเกษตรกรรายย่อยทั่วไป และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย ซึ่งมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นได้ดี โดยเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ถึงปัจจุบัน ซึ่งในการพัฒนาพันธุกรรมของลักษณะที่สนใจ จำเป็นต้องทราบค่าทางพันธุกรรม เพื่อใช้ในการคัดเลือกให้เกิดความก้าวหน้าทางพันธุกรรมได้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณค่าการผสมพันธุ์ (estimated breeding value, EBV) ที่ประมาณได้สามารถใช้ในการคัดเลือกทางพันธุกรรมของลักษณะที่สนใจ และใช้บ่งบอกผลตอบสนองทางพันธุกรรมจากการดำเนินการที่ผ่านมา โดยแสงออกเป็นค่าเฉลี่ยรายปี ที่เบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยของฝูงปรับปรุงพันธุ์<br />
<br />
<b><br />
</b></div><div><b><span style="color: orange;">วัตถุประสงค์ในการศึกษา</span></b></div><div>เพื่อประมาณค่าพารามิเตอร์ทางพันธุกรรมของลักษณะผลผลิตน้ำนม และศึกษาผลตอบสนองทางพันธุกรรมของลักษณะผลผลิตน้ำนม ในโคนม TMZ<br />
<br />
<b><br />
</b></div><div><b><span style="color: orange;">ความรู้ทางวิชาการ หรือแนวคิดหรือหลักทฤษฎีที่ใช้ในการดำเนินการ</span></b></div><div>การปรับปรุงพันธุ์หรือพัฒนาพันธุ์สัตว์เพื่อให้ได้สัตว์พันธุ์ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด จะต้องมีการคัดเลือกสัตว์ที่แสดงลักษณะดีเด่นที่สนใจให้สามารถถ่ายทอดลักษณะสู่ลูกหลานได้ โดยค่าการผสมพันธุ์ (breeding value, BV) ซึ่งเป็นค่าอิทธิพลเนื่องจากยีนแบบบวกสะสม (additive gene effect) เป็นค่าที่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ความสนใจเนื่องจากสามารถถ่ายทอดจากชั่วหนึ่งไปยังอีกชั่วหนึ่งได้ แต่เนื่องจากเป็นค่าที่ไม่สามารถชั่ง ตวง หรือวัดได้โดยตรง ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องมือเข้าช่วยในการวิเคราะห์ เพื่อใช้อธิบายอิทธิพลในรูปของคุณค่าการผสมพันธุ์ ซึ่งแสดงอิทธิพลออกมาในรูปของตัวเลขและสามารถใช้เปรียบเทียบความสามารถของสัตว์รายตัวได้ และใช้ในการคัดเลือกสัตว์เพื่อให้ได้ถ่ายทอดลักษณะดีเด่นสู่ลูกหลาน ในรุ่นต่อไป<br />
<br />
<b><br />
</b></div><div><b><span style="color: orange;">วิธีการหรือขั้นตอนการศึกษา</span></b></div><div><b><br />
</b>1. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นข้อมูลผลผลิตน้ำนมของโคนมตามโครงการสร้างพันธุ์โคนม TMZ ที่เลี้ยงในศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ลำพญากลาง และฟาร์มเกษตรกรเครือข่ายโครงการสร้างพันธุ์โคนม TMZ จำนวน 23 ฟาร์ม ในเขตพื้นที่ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี ทุกข้อมูลถูกตรวจสอบและบันทึกด้วยโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลโคนม DHI (Dairy Herd Improvement) ของกลุ่มวิจัยและพัฒนาโคนม กองบำรุงพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ โดยข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลผลผลิตน้ำนมต่อระยะการให้นม (actual milk yield per lactation) ที่จัดเก็บเป็นรายตัวเดือนละ 1 ครั้ง ใช้หน่วยวัดเป็นกิโลกรัม เมื่อครบระยะการให้นมจะคำนวณเป็นผลผลิตน้ำนมรวมต่อระยะการให้นมด้วยโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลโคนม DHI ข้อมูลที่ได้ถูกจัดเก็บไว้เป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนข้อมูล (data file) และส่วนพันธุ์ประวัติ (pedigree file)<br />
2. การวิเคราะห์ข้อมูล ทำการวิเคราะห์องค์ประกอบของความแปรปรวน ด้วยวิธี Restricted Maximum Likelihood (REML) และประเมินค่าการผสมพันธุ์ด้วยวิธี Best Linear Unbiased Prediction (BLUP) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป BLUPF90 PCPAK 2.0 ในการวิเคราะห์ด้วยโมเดลตัวสัตว์แบบวิธีวิเคราะห์ลักษณะเดียว คุณค่าการผสมพันธุ์ที่ประมาณได้ ถูกนำมาสร้าง Regression line ระหว่าง EBV ของพ่อพันธุ์กับค่าเฉลี่ยผลผลิตน้ำนมต่อระยะการให้นมของลูกสาว เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตน้ำนมลูกสาวต่อหน่วย EBV ของพ่อพันธุ์ โดยใช้สมการถดถอยเชิงเส้น (linear regression equation)<br />
3. สรุปผลงาน เขียนรายงานและเผยแพร่<br />
<br />
</div><div><b><span style="color: orange;">ระบุผลสำเร็จของงาน หรือผล</span><span style="color: orange;">การศึกษา</span></b><span style="color: orange;"> (กรณีที่เป็นผลงานที่ดำเนินการเสร็จแล้ว)</span></div><div>ผลการศึกษาพบว่า ค่าอัตราพันธุกรรมและค่าอัตราซ้ำ ของลักษณะผลผลิตน้ำนมของโคนม TMZ มีค่าเท่ากับ 0.27 และ 0.50 ตามลำดับ ซึ่งมีผลตอบสนองทางพันธุกรรมในช่วงปี 2531 ถึง 2545 เพิ่มขึ้น 147.74 กิโลกรัม โดยภายหลังปี 2542 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างชัดเจน กลุ่มพ่อพันธุ์โคนม TMZ ที่มีค่า EBV สูงกว่าค่าเฉลี่ยฝูงมีค่าในช่วง 23.5-146.62 กิโลกรัม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 50.22 กิโลกรัม และกลุ่มแม่พันธุ์โคนม TMZ ที่มีค่า EBV สูงกว่าค่าเฉลี่ยฝูง จำนวน 260 แม่ มีค่าในช่วง 1.05 – 479.68 กิโลกรัม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 83.01 กิโลกรัม โดยสัมประสิทธิ์รีเกรซชั่นของค่า EBV พ่อพันธุ์กับค่าเฉลี่ยผลผลิตน้ำนมลูกสาวมีค่าเท่ากับ 1.63 และมีค่า Intercept เท่ากับ 2,816.74 กิโลกรัม<br />
<br />
</div><div><b><span style="color: orange;">การนำไปใช้ประโยชน์ หรือคาดว่าจะนำไปใช้ประโยชน์</span></b></div><div>ค่าอัตราพันธุกรรมของการให้ผลผลิตน้ำนมในโคนม TMZ มีค่าในระดับปานกลาง แสดงว่าในการปรับปรุงลักษณะต้องให้ความสำคัญต่อการจัดการและสภาพแวดล้อมควบคู่กันไป กับการพัฒนาทางด้านพันธุกรรม จึงจะส่งผลให้การพัฒนาพันธุกรรมมีความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว โดยทิศทางในการพัฒนาพันธุกรรมการให้ผลผลิตน้ำนมในโคนม TMZ มีทิศทางในการพัฒนาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้าทางพันธุกรรมในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงแนวทางที่ดำเนินการเป็นไปตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ ในส่วนของการพัฒนาพันธุกรรมด้านการให้ผลผลิตน้ำนม สามารถนำคุณค่าการผสมพันธุ์ (EBV) ที่ได้จากการศึกษามาใช้ในการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ที่มีความดีเด่นทางพันธุกรรมด้านการให้ผลผลิตน้ำนมทั้งในฝูงปรับปรุงพันธุ์และฟาร์มเกษตรกรเครือข่ายให้ได้ถ่ายทอดลักษณะสู่รุ่นลูกหลาน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าทางพันธุกรรมการให้ผลผลิน้ำนมอย่างไม่หยุดยั้ง</div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-22419050138494394112011-09-16T21:34:00.000-07:002011-09-17T09:25:57.198-07:00การจัดการรีดนม<span style="color: orange;">การรีดนมแม่โคเป็นขั้นตอนสำคัญในการเก็บเกี่ยวผลลิตน้ำนม หลักสำคัญในการรีดนมคือ</span><br />
<br />
<ol><li>การปฎิบัติต่อแม่โครีดนม ควรกระทำด้วยความนุ่มนวล สม่ำเสมอ ขณะรีดไม่ควรให้แม่โคตื่นตกใจ หรือมีความเครียดเพราะจะทำให้แม่โคให้นมลดลง</li>
<li>การรีดนมควรจะมีเวลากำหนดแน่นอน ปกติรีดวันละ 2 ครั้ง กรณีที่แม่โคให้นมมากอาจจะรีดวันละ 3 ครั้ง กรณีที่รีดวันละ 2 ครั้ง ช่วงห่างของการรีดนมควรห่างกันประมาณ 12 ชั่วโมง ไม่ควรรีดนมผิดเวลาไปจากที่ปฎิบัติเป็นประจำ</li>
<li>ก่อนรีดนมต้องทำความสะอาดเต้านมโดยการเช็ดล้าง และกระตุ้นให้แม่โคปล่อยน้ำนม</li>
<li>การรีดนมควรรีดให้เสร็จและหมดเต้าภายใน 5-7 นาที</li>
<li>อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับการรีดนม ต้องสะอาด</li>
<li>คนรีดนมต้องสะอาดและมีสุขภาพดี ไม่ควรเปลี่ยนคนรีดนมโดยไม่จำเป็น</li>
</ol><br />
<br />
<b><span style="color: orange;">การรีดนมทำได้ 2 วิธี คือ</span></b><br />
<ol><li>การรีดนมด้วยมือ</li>
<li>การรีดนมด้วยเครื่องรีดนม</li>
</ol><br />
น้ำนมที่รีดได้จะมีอุณภูมิประมาณ 36 c ควรทำให้เย็นลงโดยเร็ว เพื่อลดอัตราการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ที่อาจจะปนเปื้อนติดมา สำหรับเกษตรกรรายย่อยอาจจะยุ่งยากในการทำให้นมที่รีดได้เย็นลง ดังนั้นควรจะรีบส่งนมที่รีดได้ให้กับศูนย์รวมนมดิบโดยเร็ว ถ้าเป็นฟาร์มใหญ่ควรใช้เครื่องทำความเย็นทำนมที่รีดได้เย็นลงต่ำกว่า 10 c เพื่อเป็นการรักคุณภาพน้ำนม ทำให้เก็บน้ำนมได้นานขึ้นก่อนส่งถึงโรงงาน <br />
<div><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>รีนนมด้วยเครื่องรีดนม</b></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2eIWrxx92oAt6LEobEcKfRGVK-9zJkE7qodo3Wel6BhTRebUrkYtMKeaWkZngMSDPY_XIr607MxzqZje1179CpY9zJm6FQl1iTQUjgdTEUHFuzQVYVmzq1neA4oFlxL-XHI1JokuX0Sgu/s320/milking+cows2.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7rTOyRhJpop4PWm-ieQyxMaQfcwk59sKdmhFz9NC9oT0oxa4GHyd6vuGot0qH49LDWFfKytfwJHk8RdDTBnAjSV8ZQWJF48_LMmKTCJxzlN42LBS6ne-lBoaDaBdsoOQnVoxxu0Einaga/s320/milking+cows1.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>รีดนมด้วยมือ</b></div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicgS2qItP2vW9Yn7U3cLkjx-4sRO5gdASV23Tt__ea3_Gzyx7ZgTyv8Ao8bYk09IMCUaOFPdLSjdjTLDQFeq-_PhImmoiQHuEz-rcIaubr3TAK5Nf_gzL_NAvMxNoGLLE-ylLhbqoQqfa7/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg" /><br />
<br />
</div><b><span style="color: orange;">ขั้นตอนในการรีดนมเพื่อให้ได้น้ำนมที่สะอาด</span></b><br />
<ol><li>การเตรียมน้ำยาฆ่าเชื้อโดยใช้น้ำยาคลอดรีนอย่างเจือจาง</li>
<li>การเตรียมอุปกรณ์การรีด ซึ่งรวมถึงผู้ที่ทำการรีด และแม่โคให้เรียบร้อย การเตรียมการต่าง ๆ ควรจัด การให้สะอาดหรือฆ่าเชื้อก่อนด้วยยาคลอริน</li>
<li>ทำความสะอาดตัวโคและบริเวณคลอรินที่สกปรก</li>
<li>ล้างเต้านมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำยาคลอรีน พร้อมกับนวดเช็ดเบา ๆ</li>
<li>ก่อนลงมือรีดควรตรวจสอบความผิดปกติของน้ำนมหรือทำการรีดน้ำนมที่ค้างอยู่ในหัวนมทิ้งเสียก่อน</li>
<li>ขณะลงมือรีดน้ำควรรีบรีดให้เร็วที่สุดไม่หยุดพักกะให้เสร็จภายใน 5-6 นาที และต้องรีดให้หมดทุกเต้า</li>
</ol><br />
<b><span style="color: orange;">การรีดนมด้วยมือ</span></b><br />
<br />
กระทำได้โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้บีบหรือรีดหัวนมตอนบนเพื่อเป็นการปิดทางนม เป็นการกันไม่ให้น้ำนม ในหัวนมหนีขึ้นไปอยู่ตอนบนต่อมาก็ใช้นิ้วที่เหลือ (กลาง, นาง, ก้อย) ทำการบีบไล่น้ำนมตั้งแต่ตอนบนเรื่อย ลงมาข้างล่างจะทำให้ภายในหัวนมมีแรงอัดและน้ำนมจะถูกดันผ่านรูนออกมาและเมื่อขณะที่ปล่อยช่องนิ้ว (หัวแม่มือ, นิ้วชี้) ที่รีดหัวนมตอนบนออก น้ำนมซึ่งมีอยู่ในถุงพับนม ข้างบนจะไหลลงมาส่วนล่างเป็นการเติม ให้แก่หัวนมอีกเป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลาที่รีดจนกระทั่งน้ำนมหม<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">วิธีการหยุดรีดนมแม่โค</span></b><br />
<br />
ในการหยุดรีดนมแม่โคโดยเฉพาะแม่โคที่เคยให้นมมาก ๆ ควรจะต้องระมัดระวังในการหยุดรีด เพราะ อาจจะทำให้เกิดโรคเต้านมอักเสบได้โดยง่าย วิธีการหยุดรีดควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป กล่าวคือในขั้นต้น อย่ารีดให้น้ำนมหมดเต้าเลยทีเดียว ในช่วงแรก ๆ ควรค่อย ๆ ลดอาหารข้นลงบ้างตามส่วน แล้วต่อไปจึง เริ่มลดจำนวนครั้งที่รีดนมในวันหนึ่ง ๆ ลงมา ลงเป็นวันละครั้ง ต่อมาจึงรีดเว้นวันและต่อมาก็เว้นช่วงให้นาน ขึ้นจนกระทั่งหยุดรีดนมในที่สุด ซึ่งปกติโดยทั่ว ๆ ไป จะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน และในขณะที่หยุดพัก รีดนมนี้จะต้องหมั่นสังเกตเต้านมอยู่เสมอ ถ้าปรากฏว่าบวมแดงหรืออักเสบต้องรีบตามสัตวแพทย์มาช่วย รักษา และต้องหวนกลับมารีดนมตามเดิมไปก่อนถ้าไม่มีโรคแทรกแล้ว เต้านมของแม่โคที่พักการให้นม ใหม่ ๆ โดยทั่วไปก็จะคัดเต้าอยู่สักระยะหนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ ลีบเล็กลงไปในที่สุด<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">ปัญหาที่พบบ่อยในการรีดนม</span></b><br />
ถ้ารู้ว่าโคตัวใดเป็นโรคเต้านมอักเสบทำให้การรีดหลังโคตัวอื่น ๆ เพื่อป้องกันการกระจายของโรคและ ควรรีดเต้าที่อักเสบทีหลังสุด และให้ระวังการเช็ดล้างเต้านม<br />
ถ้าโคตัวใดเป็นแผลหรือเป็นฝีที่หัวนม ขณะที่ทำการรีดนมแม่โคอาจแสดงอาการเจ็บปวด อาจทำร้าย คนรีดได้ในกรณีเวลารีดควรแตะต้องแผลให้น้อยที่สุด และควรรีบจัดการรักษาใส่ยาหรือใช้ขี้ผึ้งทา หลังรีดนม เสร็จแล้วควรล้างมือให้สะอาดด้วย<br />
ถ้ามีโคตัวใดนมรั่ว ซึ่งเกิดจากเต้านมคัด ซึ่งเป็นเพราะกล้ามเนื้อวงแหวนที่รัดรูหัวนมไม่แข็งแรงพอ หรือค่อนข้างเสื่อมสมรรถภาพ กรณีที่ไม่มีแนวทางแก้ไขอาจใช้จุกปิดหรืออุดรูหัวนมหรือใช้วิธีรีดนมให้ถี่ขึ้น ก็ได้<br />
ถ้าพบว่าแม่โคบางตัว ให้น้ำนมที่มีสีผิดปกติเกิดขึ้นกล่าวคือน้ำนมอาจเป็นสีแดงหรือมีสีเลือดปนออกมา ซึ่งอาจเป็นเพราะเส้นเลือดฝอยในเต้านมแตก ซึ่งไม่เป็นอันตรายใด ๆ จะค่อย ๆ หายไปเองในไม่ช้า น้ำนม ที่ได้ควรนำไปให้ลูกโคกินไม่ควรบริโภค<br />
ถ้าพบว่าแม่โคตัวใดเตะเก่ง ขณะทำการรีดจะต้องใช้เชือกมัดขา ซึ่งควรค่อย ๆ ทำ การฝึกหัดให้เคยชิน โดยไม่ต้องใช้เชือกมัด เพราะวิธีการมัดขารีดนมไม่ใช่เป็นวิธีการที่ดีจะทำให้วัวเคยตัว <br />
<div><br />
</div><div><b><span style="color: orange;">การรีดนมด้วยเครื่องรีดนมมีขั้นตอน ดังนี้</span></b></div><div><ol><li>เตรียมเครื่องรีดนม เปลี่ยนใส้กรองของท่อเครื่องรีดนมให้เรียบร้อย</li>
<li>ประกอบตัวถังเครื่องรีดนมแยกจากเครื่องใหญ่ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมตรวจเช็กอุปกรณ์ในห้องรีดให้ครบ</li>
<li>เปิดระบบเครื่องรีดนมให้ทำงานพร้อมเตรียมตัวรีดนมต่อไป</li>
<li>ปล่อยแม่โครีดนมเข้าห้องรีดนม</li>
<li>ทำความสะอาดเต้าแม่โครีดนมให้เรียบร้อย โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดเต้านมที่เตรียมไว้ พร้อมกระตุ้นเต้านมให้แม่โคปล่อยน้ำนม และตรวจทานไม่โคนมจะต้องไม่เป็นเต้านมอักเสบ ในกรณีที่เป็นก็รีดใส่ถังแยกต่างหากไม่ใช้เครื่องใหญ่รีดรวมปะปนกันเข้าไปในถังเก็บนมใหญ่</li>
<li>จากนั้นก็สวมหัวเครื่องรีดนมได้ ขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับระบบของเครื่องรีดนม อาทิ บางรุ่นจะต้องกดปุ่มรีดนมก่อนถึงจะรีดได้ บางรุ่นสามารถดึงมาสวมใส่เต้านมได้เลย เป็นต้น</li>
<li>รอจนกว่าหัวรีดนมจะหยุดทำงานเองโดยอัตโนมัติ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปยื่นรอสามารถไปรีดนมตัวอื่นได้เลย แล้วหัวรีดนมจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ</li>
<li>เมื่อหัวรีดนมหยุดทำงานแล้ว ก็ไปตรวจเต้านมของแม่โคดูว่าแม่โคตัวนั้นๆ ให้นมหมดเต้าหรือยัง ในกรณีให้ยังไม่หมดเต้าเราสามารถรีดนมซ้ำอีกรอบก็ได้ เมื่อตรวจทานครบทุกตัวแล้ว ปล่อยโคชุดนั้นๆ ออกไปได้แล้วเตรียมตัวรีดแม่โคนมชุดต่อไป</li>
</ol></div><div><br />
</div><div><b><span style="color: orange;">ตัวอย่าง อุปกรณ์การรีดนมด้วยเครื่องรีดนม</span></b></div><div><br />
</div><div style="text-align: center;">เครื่องรีดนม</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOvaL2ZgWOYykBjuHRGtRdnSk4jLj8fR6Lo_j7Y5MamIzzs9M2GoiqQpIja8Hjw0uHjfryxMb8kJYurg_SnPz3PWUf6Jgc4c_XbzBGQwjnZNaXnjBVvhItZjqQxrlhg2M9kG-GfIfZSDUa/s320/milking+cows3.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">น้ำผสมสบู่เหลวเพื่อใช้ทำความสะอาดหัวนมโคก่อนรีด</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgF78vSPzvssm3pgbJWeaHAQOxyUmXwINf8p5FnL3UM3MUrRRYAwYCuw8yNxzLz1FLZ9eX3sLr5yrBn1dmDeZl_-KhDAw1QWSlDTCs7fK7QhGNBBtAPKFwj45EyQInT_xXxaLkD3TEhr-67/s320/milking+cows7.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">ถังรีดนมแยกจากเครื่องใหญ่ ในกรณีโคเป็นเต้านมอักเสบ</div><div style="text-align: center;">(ปกติจะมีอุปกรณ์ประกอบครบแต่ในรูปมีแสดเฉพาะตัวถังรีด)</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfbxM_3E3dr61Jb1NrHyBU7AP3mJli2PrIgxj-3YkVLMtKO4OuY4B_0hOD3Wss_8nLx7jX18129nhCXBTdXuA5WYYUPOWhuQZ6mNOVTddli_c7cnzBiI8F0BwdVYVwEtKmoddprKZxxZhl/s320/milking+cows6.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">จุกสวมใส่หัวรีดนม ในกรณีโคบางตัวเต้านมไม่ปกติ เช่น หัวนมผิดปกติ หรือเสียไม่สามารถรีดได้ เป็นต้น</div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi64etE0Sx8dW1oQ0MjxkGTsuzTIVsJpTlBEtf-b-cD7MLuOjzukaT9gdplJvz0IP6q4Gjy7JLXGslHhFVoHFuvIysccBvC_odqpquIa8N_h4rQIcaRIzh8mfyaaT6Oo-PNOlnofccQzqgV/s320/milking+cows4.JPG" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">และยังมี ผ้าเช็ดเต้านมจะใช้ 1 ผืนต่อโค 1 ตัว ใช้เสร็จแล้วรวบรวมไปซักพร้อมกันทีเดียว ไม่ใช้ร่วมกับแม่โครีดนมตัวอื่น</div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-30611287916197988642011-09-16T21:30:00.000-07:002011-09-17T09:27:35.698-07:00การผสมเทียมโค<span style="color: orange;"><strong>ประวัติการผสมเทียมในประเทศไทย</strong> </span><br />
<br />
การผสมเทียมในประเทศไทยเริ่มขึ้นโดย ในปี พ.ศ.2496 ศาสตรจารย์นีลล์ ลาเกอร์ ลอฟ ชาวสวีเดน ผู้เชี่ยวชาญองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้เดินทางมาสำรวจการเลี้ยงปศุสัตว์ในประเทศไทยได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเพื่อทูลเก้าฯถวายโครงการผลิตโคนมลูกผสมด้วยวิธีการผสมเทียมในประเทศไทยเพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำนมได้เองภายในประเทศ ทดแทนการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศ หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.2497 กรมปศุสัตว์ได้ส่งนายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ และนายสัตวแพทย์อุทัย สาลิคุปต์ ไปศึกษาอบรมนานาชาติ ณ ราชวิทยาลัยสัตวแพทย์ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลสวีเดน ได้เปิดหลักสูตรฝึกอบรมวิชาการสืบพันธุ์และการผสมเทียมขึ้นเป็นรุ่นแรกเมื่อจบการศึกษากลับประเทศไทยได้เริ่มต้นก่อตั้งสถานีผสมเทียม เพื่อให้บริการผสมเทียมแก่ปศุสัตว์ของเกษตรกร และถ่ายทอดความรู้ด้านการผสมเทียมแก่นักวิชาการของกรมปศุสัตว์ ในปี พ.ศ.2499 กรมปศุสัตว์ได้เปิดสถานีผสมเทียมแห่งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่วันที่ 9 กันยายนพ.ศ.2499 นายสัตวแพทย์ทศพร ได้ผสมเทียมให้แม่โคตัวแรก แม่โคตั้งท้องคลอดลูกเป็นลูกโคเพศเมีย ดังนั้นจึงถือว่าวันที่ 9 กันยายนของทุกๆ ปี เป็นวันกำเนิดงานผสมเทียมของประเทศไทย <br />
<br />
องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จัดตั้งในปีพ.ศ.2503 โดยสมาคมเกษตรกรประเทศเดนมาร์กและรัฐบาลเดนมาร์กร่วมน้อมเกล้าฯ ถวายแด่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ มีพิธีเปิดเป็นทางการในปี พ.ศ.2505 ต่อมารัฐบาลไทยรับโอนกิจการฟาร์มโคนมจัดตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจในปี พ.ศ.2514 มีกิจกรรมด้านส่งเสริมการเลี้ยงโคนม รวมถึงการให้บริการผสมเทียม การผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โคนม และการพิสูจน์พ่อพันธุ์โคนม <br />
<br />
สำนักงานทหารพัฒนากองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด(กรป.กลาง)ได้ปฏิบัติงานพัฒนาชนบทและปี พ.ศ.2511 จัดทำโครงการส่งเสริมขยายพันธุ์สัตว์ให้บริการผสมเทียมโคเนื้อและผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งโคเนื้อ <br />
<br />
ในประเทศไทยได้ใช้เทคนิคการผสมเทียมในการขยายพันธุ์โคมานานเกือบ 50 ปี โดยกรมปศุสัตว์ได้นำเข้าน้ำเชื้อแช่แข็งจากต่างประเทศมาโดยตลอดโดยนำเข้าจากประเทศต่างๆ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น เป็นการนำเข้ามาเพื่อใช้บริการผสมเทียมเพื่อการปรับปรุงพันธุ์โคนม โคเนื้อในประเทศต่อมากรมปศุสัตว์ได้เริ่มเลี้ยงพ่อพันธุ์โคเพื่อการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งออกบริการเอง โดยได้นำเข้าพ่อพันธุ์โคจากต่างประเทศมารีดน้ำเชื้อและคัดเลือกพ่อพันธุ์โคที่เกิดในประเทศที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเพื่อพัฒนาสายพันธุ์มาผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งใช้ในประเทศไทย ในปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่ผลิตน้ำเชื้อโคในประเทศไทยคือ กรมปศุสัตว์ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โคนม โคเนื้อ และปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โคนม กรป.กลาง (สำนักงานทหารพัฒนา กองอำนวยการรักษาความสงบแห่งชาติ) ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โคเนื้อ นอกจากนี้สถาบันการศึกษาและฟาร์มเอกชนหลายแห่งได้ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งใช้เองและให้บริการเกษตรกรอยู่บ้างอย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญในประเทศไทยคือระบบข้อมูลเพื่อการจัดการฟาร์มและการปรับปรุงพันธุ์มีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงมากและใช้ระยะเวลานานในประเทศไทยหน่วยงานกรมปศุสัตว์ และ อ.ส.ค. ได้มีการทำงานด้านระบบฐานข้อมูลโคนม และได้นำผลวิเคราะห์ค่าการผสมพันธุ์ (Breeding index; BI) ออกเผยแพร่เพื่อให้เกษตรกรใช้ประกอบการเลือกใช้พ่อพันธุ์โคนมและโคเนื้อ<br />
<br />
<span style="color: orange;"><b>ข้อดีของการผสมเทียม (Advantages of artificial insemination)</b> </span><br />
<br />
การปรับเปลี่ยนจากการผสมจริงของโคในธรรมชาติมาใช้เทคโนโลยีการผสมเทียมในโคต่อเกษตรกรนั้นมีข้อจำกัดคือ การต้องมีการตรวจการเป็นสัดที่ดี และมีระบบการจัดการภายในฟาร์มที่ดีจึงจะทำให้การผสมเทียมประสบความสำเร็จอย่างไรก็ตามประโยชน์ที่ได้รับจากใช้การผสมเทียมในโคมีอยู่มากคือ <br />
<br />
<ul><li><b>การปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์ที่ดีได้รวดเร็วในเวลาสั้น (Genetic gain)</b> ประโยชน์ข้อนี้นับเป็นข้อดีที่สำคัญที่สุดของการผสมเทียม นอกจากนี้เทคนิคนี้ทำให้สามารถควบคุมโรคทางระบบการสืบพันธุ์ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งของการใช้ผสมเทียมแทนการผสมตามธรรมชาติการที่จะใช้เทคนิคการผสมเทียมเพื่อกระจายพันธุ์ดี เกษตรกรจะเลือกใช้พ่อพันธุ์ที่มีข้อมูลการประเมินคุณภาพการถ่ายทอดพันธุกรรม ที่ประเมินจากฝูงโคขนาดใหญ่ในประเทศ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำการพิสูจน์พ่อพันธุ์ (การจัดเก็บข้อมูลผลผลิตลูกสาวจากพ่อตัวนั้นการประมวลวิเคราะห์ผลด้วยโปรแกรมเฉพาะ การคัดเลือกเพื่อปรับปรุงพันธุ์) ค่อนข้างสูงมากและใช้เวลานานเพราะต้องติดตามข้อมูลผลผลิตอย่างน้อยหนึ่งระยะให้นมของลูกสาว ดังนั้นประเทศที่มีการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งใช้จะต้องมีระบบข้อมูลที่ดีและมีระบบการประเมินคุณภาพพ่อพันธุ์หรือค่าการผสมพันธุ์โคทุกตัว ที่ใช้น้ำเชื้อบริการอยู่เป็นประจำ (ประเมินปีละ 1 – 2 ครั้ง) ในประเทศไทยกรมปศุสัตว์ และ อ.ส.ค. เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งและประเมินค่าการผสมพันธุ์โคนมในประเทศไทยส่วนโคเนื้อกรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานหลักที่ติดตามประเมินค่าการผสมพันธุ์โคเนื้อ</li>
<li><b>การใช้จ่ายเพื่อการผสมพันธุ์ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Cost effectiveness) </b>แม้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อประโยชน์ของการผสมเทียมโดยเฉพาะในด้านศักยภาพการถ่ายทอดพันธุกรรมหรือผสมเทียมเพื่อปรับปรุงพันธุ์ได้ดีขึ้น แต่ประโยชน์ที่เจ้าของฟาร์มคำนึงถึงการนำเอาการผสมเทียมมาใช้แทนการผสมตามธรรมชาติที่สำคัญคือการลดค่าใช้จ่ายการลดต้นทุนการผลิต ด้วยข้อดีน้ำทำให้การผสมเทียมในโคได้รับการยอมรับและแพร่หลายใช้ทั่วโลก การซื้อพ่อโคพันธุ์ดีมาเลี้ยงเพื่อใช้ผสมจริงมีข้อเสียมากทั้งค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูค่าพันธุ์หรือค่าตัวพ่อโค การควบคุมโรคทางการสืบพันธุ์ในฝูงพันธุกรรมของลูกที่เกิดที่ไม่ชัดเจนว่าพ่อที่ผสมเป็นตัวใดกรณีที่มีพ่อหลายตัวปล่อยคุมฝูง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมของพ่อโคต่อจำนวนแม่โคในฝูง จะต้องมีการเฝ้าระวังโดยตรวจสอบอัตราการผสมติดอย่างไรก็ตามปัญหาพ่อโคที่ไม่สมบูรณ์พันธุ์หรือมีปัญหาการผสม (infertile or subfertile) มักทราบหลังจากใช้คุมฝูงไปนานหลายเดือนแล้ว ซึ่งจะนำความสูญเสียต่อผลผลิตของฟาร์มในปีนั้นๆ การตรวจพ่อพันธุ์ที่มีปัญหาทั้งระบบสืบพันธุ์และคุณภาพน้ำเชื้อสามารถทำได้ แต่เจ้าของฟาร์มต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บพ่อโคที่ใช้งานไม่ได้ ซึ่งค่าตัวพ่อโคพันธุ์ดีแต่ละตัวสูงมาก ทำให้เมื่อประเมินความคุ้มทุนเทียบกับการซื้อน้ำเชื้อแช่แข็งที่ผ่านการพิสูจน์พันธุ์แล้ว (มี breeding index และการตรวจรับรองการปลอดโรคที่กำหนด) จะคุ้มทุนมากกว่าน้ำนมและองค์ประกอบดีแล้วแต่มีลักษณะเต้านมไม่สวย เกษตรกรอาจเลือกใช้พ่อพันธุ์ที่ถ่ายทอดลักษณะเต้านมที่แข็งแรงมาผสมแม่ตัวนี้ เพื่อให้ได้ลูกสาวที่คาดว่าจะมีผลผลิตน้ำนมดีและโครงสร้างเต้านมแข็งแรง ไม่หย่อนยานเมื่ออายุมาก เพราะลักษณะดังกล่าวมีส่วนสัมพันธ์ต่อการเป็นโรคเต้านมอักเสบและแม่โคมีโอกาสเหยียบหัวนมตัวเองมากขึ้นหรือเกษตรกรอาจต้องการพ่อพันธุ์ที่ถ่ายทอดลักษณะขาที่แข็งแรงหรือพ่อโคที่ถ่ายทอดการให้น้ำนมที่มีไขมันสูงตามเกณฑ์มาตรฐานราคาน้ำนมดิบในประเทศนั้น ด้วยความต้องการที่หลากหลายเพื่อปรับปรุงลักษณะที่ต้องการในลูกรุ่งต่อๆ ไป ทำให้การเลือกใช้น้ำเชื้อแช่แข็งจากพ่อพันธุ์ที่พิสูจน์แล้วหลายๆ ตัวมีความสะดวกมากกว่าการซื้อพ่อพันธุ์ที่ถ่ายทอดลักษณะที่ต้องการในจำนวนจำกัดมาเลี้ยงไว้เพื่อผสมพันธุ์ในฟาร์ม</li>
</ul><br />
<b><span style="color: orange;">ข้อเสียของการผสมเทียม (Disadvantages of artificial insemination)</span> </b><br />
เทคโนโลยีการสืบพันธุ์โดยใช้เทคนิคการผสมเทียมมีคุณประโยชน์มากมายแต่ก็มีข้อเสียที่ควรตระหนักและต้องระมัดระวังเสมอสำหรับผู้ใช้คือ<br />
<br />
<ul><li><b>ขบวนการการรีดน้ำเชื้อ การผลิตน้ำเชื้อแช่แข็ง และเทนนิคการผสมเทียม</b> ไม่ว่าจะเป็นการรีดเก็บน้ำเชื้อ การตรวจคุณภาพการแช่แข็ง การเก็บรักษา การจัดส่งน้ำเชื้อแช่แข็ง และการผสมเทียมต้องทำอย่างถูกต้องระมัดระวัง นอกจากนี้ต้องมั่นใจว่า โรคทางการสืบพันธุ์ เช่นโรคแท้งติดต่อ โรคทริโคโมนิเอซิส โรคแคมไพโรแบคเทอริโอซิส และโรคอื่นๆ จะไม่แพร่โดยน้ำเชื้อจากพ่อโคที่เป็นโรค หรือติดต่อจากอุปกรณ์ผสมเทียมที่นำเชื้อโรคจากแม่โคที่เป็นโรคไปยังโคตัวอื่นๆสถานีพ่อพันธุ์จะต้องปลอดโรคเหล่านี้ (โรคที่ถ่ายทอดทางการสืบพันธุ์และถ่ายทอดผ่านทางน้ำเชื้อแช่แข็งได้) หากน้ำเชื้อถูกเก็บรักษาหรือมีขบวนการแช่แข็งที่ไม่เหมาะสมแล้ว จะมีผลให้คุณภาพน้ำเชื้อต่ำ ส่งผลให้อัตราการผสมเทียมติดต่ำ นอกจากปัจจัยการตรวจการเป็ดสัดที่ถูกต้องแล้ว การผสมเทียมในเวลาเหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่ออัตราการผสมติดการลงบันทึกข้อมูลการผสมพันธุ์ที่สมบูรณ์ถูกต้องจะต้องทำเพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการผสมเทียม ผู้ทำการผสมเทียม (inseminators) หากทำการผสมเทียมโดยไม่สะอาดไม่ระมัดระวังแล้วจะเป็นทางแพร่โรคจากฟาร์มหนึ่งไปยังอีกฟาร์มหนึ่งได้ หรือเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ระบบสืบพันธุ์แม่โคได้</li>
<li><b>โรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์</b> การผสมเทียมเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้มีการขยายพันธุ์ที่ดีได้รวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นในทำนองเดียวกันการผสมเทียมเป็นทางแพร่พันธุกรรมที่มีความผิดปกติได้หากไม่ตรวจพบได้ก่อนการนำน้ำเชื้อออกบริการโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ เช่น ลักษณะโคที่ไม่ดี (poor conformation) โดยเฉพาะขาไม่แข็งแรง โรคปัญหาของสันหลัง (spastic syndrome) การมีพฤติกรรมการผสมพันธุ์ที่ไม่สมบูรณ์ การไม่มีความต้องการผสมพันธุ์หรือไม่มีกำหนัด (lack of libido) โรคถุงน้ำในรังไข่ (cystic ovaries) นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าโรคเต้านมอักเสบสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้เช่นกันโรคที่แฝงมากับยีนด้อยที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาทำการตรวจพ่อพันธุ์ทุกตัวก่อนการนำน้ำเชื้อไปใช้ มีการตรวจหลายโรค เช่น โรคแบลด (bovine leukocyte adhesion deficiency: BLAD) หากพ่อโคปลอดโรคนี้จะมีรหัส *TL ที่ข้อมูลพิสูจน์ประจำตัวพ่อพันธุ์(breeding index) โรคดัมปส์ (deficiency of uridine monophosphate syntheses: DUMPS) หากพ่อโคปลอดโรคนี้จะมีรหัส *TD ที่ข้อมูลพิสูจน์ประจำตัวพ่อพันธุ์ โรคมูลฟุต (mule-foot หรือ syndcyylism; MF) หากพ่อโคปลอดโรคนี้จะมีรหัส *TM ที่ข้อมูลพิสูจน์ประจำตัวพ่อพันธุ์ ยังมีปัญหาจากยีนด้อยแอบแฝงอื่นๆ อีกหลายโรคที่ผู้สั่งซื้อน้ำเชื้อแช่แข็งจากต่างประเทศต้องศึกษา เพื่อการเลือกใช้พ่อที่มีคุณสมบัติตามต้องการ ไม่เป็นตัวกระจายโรคและปัญหาแอบแฝงต่างๆ นอกจากนี้ในประเทศที่มีระบบข้อมูลประเมินค่าการผสมพันธุ์ของพ่อพันธุ์ที่สมบูรณ์ (sire evaluation) จะมีการประเมินการถ่ายทอดลักษณะรูปร่าง (type traits) เช่น ลักษณะเต้านม ขา เท้า การให้ผลผลิตน้ำนมและองค์ประกอบหลักของน้ำนม (production traits) เช่น ปริมาณโปรตีนและไขมันในน้ำนม หน่วยงานที่ผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์โคเพื่อจำหน่ายจะต้องมีการตรวจรับรองการปลอดโรค และค่าการถ่ายทอดพันธุกรรมของพ่อโคเหล่านี้ เช่น น้ำเชื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรปบางประเทศ จะระบุผลตรวจโรคทางพันธุกรรม ในข้อมูลค่าการผสมพันธุ์ประจำตัวพ่อพันธุ์ (breeding index)</li>
<li><b>ผลเสียและข้อจำกัดอื่นๆ</b> หากทำการผสมเทียมในสัตว์ตั้งท้องจะมีผลทำให้แท้งลูกได้ ดังนั้นผู้ผสมเทียมต้องตรวจระบบสืบพันธุ์และประวัติการผสมให้ถูกต้องก่อนการผสมเทียมทุกครั้งการบริการผสมเทียมจากองค์กรของรัฐอาจทำได้ไม่ตรงเวลาและไม่ทำงานทุกวันทำให้โคอาจไม่ได้รับการผสมเทียมในวันและเวลาที่เหมาะสม เกษตรกรบางฟาร์มทำการผสมเทียมเองโดยได้รับการฝึกอบรมจากกรมปศุสัตว์และสถาบันการศึกษา เพื่อช่วยให้ทำการผสมเทียมได้ถูกต้องและตรงเวลาที่เหมาะสมกับการเป็นสัดได้ดีขึ้นอกจากนี้ความเสี่ยงของการใช้พ่อพันธุ์ตัวเดียวผสมในฝูงคือจะเป็นตัวนำความผิดปกติที่ตรวจไม่พบเมื่อเป็นโคหนุ่มแต่พบเมื่อพ่อตัวนี้โตแล้วซึ่งเวลานั้นลูกที่เกิดจากพ่อตัวนี้มีจำนวนมากในฟาร์มและแสดงความผิดปกติหรือแฝงความผิดปกติอยู่ในลูกทุกตัวแล้ว ในสถานีพ่อพันธุ์มีขบวนการพิสูจน์พ่อพันธุ์ จากข้อมูลการให้ผลผลิตและลักษณะเฉพาะพันธุ์ในลูกสาว ทำให้พบลักษณะที่ไม่ต้องการต่างๆ ก่อนการนำน้ำเชื้อออกใช้ในจำนวนมากแต่อย่างไรก็ตามหากความผิดปกติไม่สามารถตรวจพบในขบวนการพิสูจน์พ่อพันธุ์ก่อนการนำน้ำเชื้อออกบริการการผสมเทียมก็จะเป็นการกระจายความผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าการผสมจริงเช่นกัน จะเห็นว่า “การผสมเทียมมีคุณอนันต์ แต่หากใช้อย่างไม่รอบคอบก็นำโทษมหันต์มาให้”</li>
</ul><br />
<div><br />
<br />
<b><span style="color: orange;">การผสมเทียม</span></b><br />
<br />
การผสมเทียม หมายถึงการรีดน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์แล้วนำไปฉีดเข้าในอวัยวะของสัตว์ตัวเมียนั้น แสดงอาการของการเป็นสัดแล้วทำให้เกิดการตั้งท้องแล้วคลอดออกมาตามปกติ <br />
<div><br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgh67jn5qFlheoA4WIi6ldLLC5sve5OWQCRvYZ51QueoHkX_8D51tWavvGZAqU8AKdKxOtOnlMyLC_OprWkYjnd69w9zT5j1DytCFCTMWuPryH27V3KIwWb6KSqJRT0baxKriqMOvhEEkf8/s320/Insemination+in+Cattle-3.jpg" /></div><br />
<div style="text-align: center;"><span style="color: #ac0604;"><span style="color: black;"></span></span> </div><br />
<div style="text-align: center;"><span style="color: #ac0604;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh09duWUls7tn1_KQkls2ZhWnOMd5c6I-uV1ORq3biu7w0kUsPvJ9PWFMBYpLkeHIAHNPHVchkJii5uYlwurne904J83HarXWfJSXHgG6hsqDRPccNrYzZS059rmjOrFtp1zkpLVt80G65r/s320/Insemination+in+Cattle-4.jpg" /></span></div></div><div><br />
</div><div><b><span style="color: orange;">ประโยชน์ของการผสมเทียม</span></b><br />
<ol><li>ทำให้ประหยัดพ่อพันธุ์เมื่อรีดเก็บน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์ได้แต่ละครั้ง สามารถนำมาละลายน้ำเชื้อ แล้วแบ่งใช้ผสมกับสัตว์ตัวเมียได้จำนวนมาก</li>
<li>สามารถผสมพันธุ์สัตว์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กต่างกันได้โดยไม่มีอันตรายจากการขึ้นทับของพ่อพันธุ์</li>
<li>ไม่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงพ่อพันธุ์</li>
<li>ตัดปัญหาในเรื่องขนส่งโคไปผสม เพราะสามารถนำน้ำเชื้อไปผสมได้ไกล ๆ</li>
<li>บังคับสัตว์ให้ตกลูกได้ตามฟดูกาล คือเลือกระยะเวลาผสมให้ตกลูกตามระยะที่ต้องการ</li>
<li>แก้ปัญหาการผสมติดยาก เช่น กรณีปากมดลูกกดหรือตีบช่องคลอดผิดปกติ เป็นต้น</li>
<li>ป้องกันโรคติดต่อและโรคระบาด เพราะใช้น้ำเชื้อพ่อพันธุ์ปราศจากโรคและเครื่องมือใช้ในการผสม ได้รับการฆ่าเชื้อโรคเป็นอย่างดีและใช้ผสมเฉพาะตัว</li>
<li>ย่นระยะเวลาการพิสูจน์พ่อพันธุ์ เพราะผสมได้จำนวนมากในระยะสั้น</li>
</ol><b><span style="color: orange;">ระยะเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียม</span></b><br />
โคตัวเมียที่แสดงอาการเป็นสัดดังกล่าวควรจะได้รับการผสมเทียมในระยะเวลาช่วงกลางของการเป็นสัด หรือใกล้ระยะที่จะหมดการเป็นสัด (อาจจะหมดการเป็นสัดไปแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง ก็ได้หรือเมื่อโคเมีย ตัวนั้นยืนนิ่งให้ตัวอื่นขึ้นขี่ซึ่งใช้เป็นหลักในการผสมพันธุ์) โดยทั่ว ๆ ไป โคเมียจะมีระยะเป็นสัดประมาณ 18 ช.ม. แล้วต่อมาอีก 14 ช.ม. จึงจะมีไข่ตกเพื่อรอรับการผสมพันธุ์กับน้ำเชื้อพ่อโค จึงเห็นสมควรที่ต้อง เลือกเวลาที่เหมาะสม ในการดำเนินการเรื่องของรับบริการผสมเทียมดังมีหลักการที่จะใช้ในการปฏิบัติ งานผสมเทียมคือ<br />
<ol><li>เมื่อโคเมียตัวใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนรุ่งเช้าของวันใดวันหนึ่งควรที่จะได้รับการผสมเทียมในวัน เวลาเดียวกัน (ก่อน 16.30 น.) ฉะนั้นพอรุ่งเช้าของแต่ละวันเจ้าของสัตว์ควรจะได้ไปแจ้งและบอกเวลา (ประมาณ) ที่ท่านได้เห็นสัตว์ของท่านแสดงอาการเป็นสัด</li>
<li>ถ้าโคตัวเมียใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายของวันใดวันหนึ่งควรที่จะได้รับการผสมเทียมตอนเช้า หรือก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ฉะนั้นเจ้าของสัตว์เมื่อพบว่าสัตว์แสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายหรือตอนเย็น ท่านควรจะไปแจ้งและบอกเวลาของการเป็นสัด (ประมาณ) ในรุ่งเช้าของวันต่อไปก็ได้</li>
</ol>ถ้าท่านได้ศึกษาและรู้จักสังเกตการแสดงอาการเป็นสัดว่าอาการเป็นอย่างไรและหาระยะเวลาที่จะผสม เทียมให้พอเหมาะแล้ว จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องการผสมเทียมติดยากหรือผสมไม่ค่อยติดในโคตัวเมีย ของท่านได้ทางหนึ่ง และจะทำให้เป็นประโยชน์ในด้านการเพิ่มจำนวนและปริมาณน้ำนมในกิจการโคนม ของท่านยิ่งขึ้น จึงเห็นสมควรที่จะเรียกช่วงเวลาอันสำคัญนี้ว่า "นาทีทองในโคนมตัวเมีย"</div><div><br />
</div><div><div style="text-align: center;"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7KiY8T7faU-CPNml-lxIiGPNDRw7OrhIwn8q_izd2KCXNCz86xTmUN1AR28ccjIGgn0oTuBFDgOPIKP8B7ld7xqJUEwvI2Q9DTHzLrSyHj9kemH_bGmjey87OatQ8k5JFv_Y_cG8vKlPP/s320/Insemination+in+Cattle-5.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b><span style="color: orange;">จะรู้ได้อย่างไรว่าโคตั้งท้องหรือไม่</span></b><br />
เมื่อโคนางได้รับการผสมไปแล้วประมาณ 21 วัน หากโคไม่กลับมาแสดงอาการเป็นสัดอีกก็อาจคาดได้ว่า ผสมติดหรือโคตัวนั้นเริ่มตั้งท้องแล้วหรือเพื่อให้รู้แน่ชัดยิ่งขึ้นภายหลังจากการผสมโคนางแล้ว 50 วันขึ้นไป อาจติดต่อสัตวแพทย์ หรือบุคคลผู้มีความชำนาญในการตรวจท้องแม่โค (โดยวิธีล้วงเข้าไปคลำลูกโคทางทวาร ของแม่โค) มาทำการตรวจท้องแม่โคก็จะทราบได้แน่ชัดยิ่งขึ้น<br />
ข้อสังเกต ในกรณีโคสาวจะสังเกตุได้จากการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น กินจุขึ้นความจุของลำตัวโดยเฉพาะส่วนท้อง ซี่โครง จะกางออกกว้างขึ้น ขนเป็นมันและไม่เป็นสัดอีก</div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-86585394218427563012011-07-09T03:36:00.000-07:002011-09-17T09:12:14.643-07:00การป้องกันโรคโคนม<div> โรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำความเสียหายให้แก่ผู้เลี้ยงโคนมไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งถ้า เกิดขึ้นกับฟาร์มใด อาจทำให้ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการได้ การป้องกันโรคโคนมควรปฏิบัติดังต่อไปนี้<br />
<ul><li>เลี้ยงแต่โคที่แข็งแรงสมบูรณ์และปลอดจากโรค ไม่ควรเลี้ยงโคที่อ่อนแอโคที่เป็นเรื้อรังรักษาไม่หายขาด โรคทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคไส้เลื่อน, โรคติดต่อร้ายแรง เช่นโรคแท้งติดต่อหรือวัณโรค เป็นต้น</li>
<li>ให้อาหารที่มีคุณภาพดีและมีจำนวนเพียงพอ ถ้าให้อาหารไม่ถูกต้องเพียงพอ หรือให้อาหารเสื่อมคุณภาพ หรือมีสิ่งปลอมปนอาจทำให้โคเป็นโรคไข้น้ำนม, โรคขาดอาหาร รวมทั้งทำให้อ่อนแอเกิดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเกษตรกรควรซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และระวังอาหารที่เป็นพิษ เช่นมีเชื้อรา พืชที่พ่นยาฆ่า แมลง เป็นต้น</li>
<li>จัดการเลี้ยงดูและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงให้เหมาะสม สำหรับข้อนี้เป็นวิธีการลงมือปฏิบัติที่ค่อนข้าง สับสน เพื่อให้เข้าใจง่าย สะดวกแก่การปฏิบัติ จึงขอแยกแยะออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้</li>
</ul><ol><li>คอกคลอดควรได้รับการทำความสะอาด และใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นหรือราดทิ้งไว้ 2-3 อาทิตย์ก่อนนำแม่โค เข้าคลอด</li>
<li>ลูกโคที่เกิดใหม่ต้องล้วงเอาเยือกเมือกที่อยู่ในจมูกปากออกให้หมดเช็ดตัวลูกโคให้แห้ง</li>
<li>สายสะดือลูกโคที่เกิดใหม่ต้องใส่ทิงเจอร์ไอโอดีนให้โชกและใส่ยากันแมลงวันวางไข่ทุกวันจนกว่าสาย สะดือจะแห้ง</li>
<li>ให้ลูกโคกินนมน้ำเหลืองโดยเร็วถ้าเป็นไปได้ควรให้กินภายใน 15 นาทีหลังคลอด</li>
<li>ทำความสะอาดคอกลูกโค เช่นเดียวกันคอกคลอดก่อนนำลูกโคเข้าไปเลี้ยง</li>
<li>ควรเลี้ยงลูกโคในคอกเดี่ยวเฉพาะตัว</li>
<li>เครื่องมือเครื่องใช้เช่น ถังนมที่ใช้เลี้ยงลูกโคไม่ควรปะปนกัน</li>
<li>ให้ลูกโคกินนมไม่เกิน 10% ของน้ำหนักตัว แบ่งออกเป็น 2 ครั้งต่อวัน</li>
<li>หัดให้ลูกโคกินอาหารและหญ้าโดยเร็ว (เมื่อลูกโคอายุได้ประมาณ 1 อาทิตย์) อาหารที่เหลือต้องกวาดทิ้ง ทุกวัน น้ำสะอาดควรมีให้กินตลอดเวลา</li>
<li>ลูกโคต้องตัวแห้งเสมอ วัสดุที่ใช้รองนอนต้องเปลี่ยนทุกวัน</li>
<li>แยกลูกโคที่อายุต่างกันให้อยู่ห่างกัน</li>
<li>ถ่ายพยาธิเมื่อลูกโคอายุ 3 เดือน และถ่ายซ้ำอีกปีละ 1-2 ครั้งหรือตามความเหมาะสม</li>
<li>ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแท้งติดต่อสะเตรน 19 ให้แก่ลูกโคเพศเมีย เมื่อลูกโคอายุ 3-8 เดือน</li>
<li>เมื่อลูกโคหย่านมต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงดังนี้</li>
</ol><ul><li>ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าต้องฉีดให้ครบ 3 ชนิด (เอ, เอเชียวันและโอ) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน</li>
<li>ฉีดวัคซีนโรคเฮโมรายิกเซพติซิเมีย (โรคคอบวม) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน</li>
<li>ฉีดวัดซีนโรคแอนแทรกซ์ (โรคกาลี) และฉีดซ้ำทุกปี</li>
</ul>15. พ่นหรืออาบยาฆ่าเห็บทุก 15 วัน หรือตามความเหมาะสม เช่น อาจจะอาบหรือพ่นทุก 1 เดือนหรือ นานกว่านี้ก็ได้<br />
16. แม่โคที่แสดงอาหารแบ่งนานเกิน 3 ชั่วโมงแล้วไม่สามารถคลอดลูกได้ หรือแม่โคที่คลอดลูกแล้วมีรก ค้างเกิน 12 ชม. ควรตามสัตวแพทย์<br />
17. จัดการป้องกันโรคเต้านมอักเสบโดยเคร่งครัดดังนี้<br />
บริเวณคอกต้องแห้ง ไม่มีที่ชื้นแฉอะแฉะ เป็นโคลนตมไม่มีวัตถุแหลมคม เช่นรั้ว ลวดหนาม ตาปู<br />
<ul><li>รีดนมตามลำดับโดยรีดโคสาวก่อน แล้วรีดโคที่มีอายุมากขึ้น ส่วนโคที่เป็นโรคให้รีดหลังสุด</li>
<li>ก่อนรีดต้องเช็ดเต้านมด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำคลอรีน ผ้าที่ใช้เช็ดเต้านมควรใช้เฉพาะตัวไม่ปะปนกัน</li>
</ul></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-52500189147679167872011-07-09T03:30:00.000-07:002011-09-17T08:30:03.595-07:00โรงรีดนม เป็นโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งของคอกที่จัดทำขึ้นสำหรับรีดนมโดยเฉพาะ แม่โคจะถูกต้อนให้เข้าเพื่อรีดนม เมื่อเสร็จแล้วตัวใหม่ก็จะถูกต้อนเข้ามาแทน การรีดนมมักจะใช้เครื่องรีด บริเวณที่โคยืนจะสูงกว่าคนรีด ทำให้ผู้รีดนมสามารถยืนทำงานอย่างสะดวก<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">ลักษณะของที่รีดนมที่นิยมมี 4 แบบ คือ</span></b><br />
1.แบบก้างปลา (Herringbone parlor)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxUHIfLYdK0oxpeHcQ_sX34ztVeIMZW0n_98Uw6PnbwvgpPDDIEsZ4lI4qVaScMZwIK23GeV0flWPKSJHlIqx0JbxWmax9g5ns9ix0zzTCBWOxLWlKZx2wTTOwHD9Q1X5LAujO2TQ7Oe0F/s320/herringbone+parlor-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxUHIfLYdK0oxpeHcQ_sX34ztVeIMZW0n_98Uw6PnbwvgpPDDIEsZ4lI4qVaScMZwIK23GeV0flWPKSJHlIqx0JbxWmax9g5ns9ix0zzTCBWOxLWlKZx2wTTOwHD9Q1X5LAujO2TQ7Oe0F/s320/herringbone+parlor-1.jpg" /></a></div><br />
2.แบบเปิดข้าง (Side-opening parlor)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7X1SVI96S_k0IryAo3lRG2tsqzIeHWfZU7TO2y5TAK69s_QdqsPStuUrJ1oHblVLo8XYap5Hn11ny_wY-aBpsxk2H1k0mkEMxkMztkgMUT21jxVmpm84y5QcsfJg3RU-g3CmU5o55SEJz/s320/Side-opening+parlor2.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7X1SVI96S_k0IryAo3lRG2tsqzIeHWfZU7TO2y5TAK69s_QdqsPStuUrJ1oHblVLo8XYap5Hn11ny_wY-aBpsxk2H1k0mkEMxkMztkgMUT21jxVmpm84y5QcsfJg3RU-g3CmU5o55SEJz/s320/Side-opening+parlor2.JPG" /></a></div><br />
3.แบบม้าหมุน (Carousel หรือ Rotary parlor)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3qBYOrJ94hXUz3XUhyphenhyphenzRKdUqvfN6klgZpMTXKLk4J5dYVyl6YwbDdT3MsNHFcmYQMbsJrsTnVs-PwkywP3HVy5L76MH_ttoxEgG9aN4VB8OSA952ayojaYgoHg4M7n_gpYDoerjt3Iklh/s320/Rotary+parlor-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3qBYOrJ94hXUz3XUhyphenhyphenzRKdUqvfN6klgZpMTXKLk4J5dYVyl6YwbDdT3MsNHFcmYQMbsJrsTnVs-PwkywP3HVy5L76MH_ttoxEgG9aN4VB8OSA952ayojaYgoHg4M7n_gpYDoerjt3Iklh/s320/Rotary+parlor-1.jpg" /></a></div><br />
<br />
4.แบบหลายเหลี่ยม (Polygon หรือ Diamond parlor)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio3In_4u7UY9RMdOyPUy6U1M_iLc4YT63hlqlyp1zCuz4L30n4nD6y4cYlkJiwHM9jx4GEKpZb-EXl3jmEw9QkF1emDoxsHkj0VF-IQ8B5XtAy1k7QVS6Rc9HU0Ux6eet3PgeqhtzG2g_M/s320/Polygon+parlor-1.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio3In_4u7UY9RMdOyPUy6U1M_iLc4YT63hlqlyp1zCuz4L30n4nD6y4cYlkJiwHM9jx4GEKpZb-EXl3jmEw9QkF1emDoxsHkj0VF-IQ8B5XtAy1k7QVS6Rc9HU0Ux6eet3PgeqhtzG2g_M/s320/Polygon+parlor-1.gif" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">การรีดนม</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/SxfIbwgMH-A" width="480"></iframe>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-6898949571314430852011-07-09T03:24:00.000-07:002011-09-17T08:30:03.595-07:00โรงเรือนโคนมการเลี้ยงโคนมมีระบบการเลี้ยงใหญ่ๆ 2 แบบ คือ<br />
<br />
<span style="color: orange;">1. การเลี้ยงแบบผูกยืนโรง (Stall barns)</span><br />
แม่โคแต่ละตัวถูกผูกให้ยืนอยู่ในซองภายในโรงเรือนอาจจะมีการปล่อยให้โคออกกำลังบ้างเป็นครั้งคราว แม่โคจะกินอาหารและถูกรีดนมในซอง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEwLL1rwL9soCgnEEtrA_iXjUibZXp_zRqClL4IgZ6nkiNrCd7mXOWTbjDUErNsDg3KkFMmoTXngqe0kQpre5y0iDxvwnuFxtV2t2NjkN_QhLnaMfdPA0Us4fJq-RgMoq2SYhFHFxvedm0/s320/stall+barns1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="250" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEwLL1rwL9soCgnEEtrA_iXjUibZXp_zRqClL4IgZ6nkiNrCd7mXOWTbjDUErNsDg3KkFMmoTXngqe0kQpre5y0iDxvwnuFxtV2t2NjkN_QhLnaMfdPA0Us4fJq-RgMoq2SYhFHFxvedm0/s320/stall+barns1.jpg" width="320" /></a></div><br />
<div style="text-align: left;"><span style="color: orange;">2. การเลี้ยงโคแบบปล่อยอิสระในคอก (Free stall barn)</span></div><div style="text-align: left;">การเลี้ยงแบบนี้เป็นวิธีการเลี้ยงจำกัดบริเวณให้โคอยู่ภายในคอกขังซึ่งแบ่งส่วนของคอกออกเป็นที่สำหรับโคนอน บริเวณกินอาหาร ลานเดินออกกำลัง ที่พักรีดนม และสถานที่สำหรับรีดนม แม่โคสามารถเดินไปมาอย่างอิสระในคอกได้</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJNQGlvA3h2_Iy8nAJhjaIM8ihPzmIPNIkxryQtwDd_cbTzXzIPy4OAMo0wR9DduaB43n_rBDIgaWveLew9A44autqWyk4hgNagGGhkq0LWxuo46zq1Yb06e4IYeqFWMoIOV5g3GwsV2re/s320/free+stall+barns3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="203" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJNQGlvA3h2_Iy8nAJhjaIM8ihPzmIPNIkxryQtwDd_cbTzXzIPy4OAMo0wR9DduaB43n_rBDIgaWveLew9A44autqWyk4hgNagGGhkq0LWxuo46zq1Yb06e4IYeqFWMoIOV5g3GwsV2re/s320/free+stall+barns3.jpg" width="320" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKLJMlD5tnFUfxizKrZNijVFv1Sik5X_etC2S_sp0y7ykzaByvpzax6Wji7C1pIqwinbWlrblbCXMhpYXBCU5auZAOEcZ05IoDQJQeic6MN6B7vkv1falKW_l6jLM1SAKZZE92gKzMWN-x/s320/free+stall+barns1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKLJMlD5tnFUfxizKrZNijVFv1Sik5X_etC2S_sp0y7ykzaByvpzax6Wji7C1pIqwinbWlrblbCXMhpYXBCU5auZAOEcZ05IoDQJQeic6MN6B7vkv1falKW_l6jLM1SAKZZE92gKzMWN-x/s320/free+stall+barns1.jpg" width="320" /></a></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-33331391042495247982011-07-09T03:17:00.000-07:002011-09-17T08:20:37.393-07:00อาหารโคนม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://news.nipa.co.th/image/komchadluek/img500/03141_thumbFilename2_cow1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" m$="true" src="http://news.nipa.co.th/image/komchadluek/img500/03141_thumbFilename2_cow1.jpg" width="320" /></a></div><br />
โคนมเป็นสัตว์สี่กระเพาะหรือที่เรียกว่า สัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ประเภทนี้จะมี 2 ชนิดคือ อาหารหยาบ เช่น หญ้า ถั่ว อาหารสัตว์ ฟางข้าว และอาหารข้น เช่น อาหารผสม ในการให้อาหารแก่ โคนม อาหารทั้ง 2 ชนิด จะมีความสำคัญเท่า ๆ กัน และต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อที่จะทำให้โคนม สามารถให้น้ำนมได้สูงสุดตามความสามารถของโคแต่ละตัวที่จะแสดงออก โคนมในปัจจุบันได้รับการ ปรับปรุงพันธุ์จนมีความสามารถในการให้น้ำนมได้สูงกว่าแต่ก่อน ลำพังการให้อาหารหยาบเพียงอย่าง เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารหยาบในเขตร้อนอย่างประเทศไทย ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารต่ำ มีโภชนะ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการของแม่โคนม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องการให้อาหารข้นเสริมจะเห็นได้ว่าอาหาร ข้นจะเข้าไปมีบทบาทต่อการผลิตน้ำนมมากขึ้น นอกจากนั้นบทบาทที่สำคัญอีกอย่างก็คือ จะเป็นตัวกำหนด ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการเลี้ยงโคนม ทั้งนี้เพราะค่าใช้จ่ายในด้านอาหารจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดคือ ประมาณร้อยละ 70 ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของประเทศกำลังประสบอยู่ นั่นคือต้นทุน การผลิตน้ำนมดิบที่สูงขึ้น ฉะนั้นการให้อาหารแก่โคนมอย่างเหมาะสมนอกจากจะสามารถช่วยแม่โคนม สามารถให้น้ำนมได้สูงขึ้นแล้ว ยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการให้อาหารข้น แก่โคนมก็มีข้อที่จะต้องพิจารณาอยู่มาก ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังขาด ความรู้เข้าใจในการใช้อาหารข้น ทั้งเรื่องเกี่ยวกับว่า อาหารข้นควรจะมีคุณภาพอย่างไรประกอบด้วย อะไรบ้าง และจะให้โคนมกินประมาณเท่าไร ซึ่งคำถามต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงจัดทำ เอกสารฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรได้ทำความเข้าใจอย่างง่าย ๆ ในการให้อาหารแก่โคนม ก่อนที่จะกล่าวถึงในเรื่องของการให้อาหาร เกษตรกรควรที่จะทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่จะไปมีส่วน เกี่ยวข้องโดยตรง <br />
<div><br />
</div><div>ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงแม่โคนม เป็นค่าอาหารประมาณร้อยละ 70 โดยเฉลี่ย แม่โคนมนอกจากต้องการอาหารอย่างพอเพียง ยังต้องการความสมดุลของโภชนะด้วย แม่โคต้องการโภชนะเพื่อใช้ในการทำงานของร่างกายดังนี้</div><div><br />
</div><div><ul><li>เพื่อการเจริญเติบโต กรณีโคยังเติบโตไม่ได้โตเต็มที่</li>
<li>เพื่อการอุ้มท้อง ความต้องการโภชนะสำหรับการอุ้มท้องช่วง 6 เดือนแรกนั้นไม่มาก แต่ช่วง 3 เดือนก่อนคลอด ต้องการโภชนะเพิ่มขึ้นอย่างมาก</li>
<li>เพื่อการสะสมไขมัน หรือเติบโตทดแทนน้ำหนักที่สูญหายไป ระหว่างการให้นมหรือช่วงพักรีดนม</li>
<li>เพื่อการดำรงชีพ ความต้องการโภชนะเพื่อดำรงชีพมากหรือน้อยขึ้นกับขนาดของร่างกาย</li>
<li>เพื่อการให้นม ความต้องการเพื่อการให้นมผันแปรตามปริมาณน้ำนมและส่วนประกอบของน้ำนม</li>
</ul></div><div><br />
<b><span style="color: orange;">ความต้องการสารอาหารของแม่โคนม</span></b><br />
แม่โคนมแต่ละตัวมีความต้องการสารอาหารได้แก่ โปรตีน พลังงาน วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ โดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อที่จะ (1) บำรุงร่างกาย (2) เจริญเติบโต (3) ผลิตน้ำนม (4) เพื่อการเจริญเติบโตของลูกใน ท้องแม่โคจะนำสารอาหารที่ให้กินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ตามลำดับทำให้แม่โคละตัวซึ่งมีน้ำหนักตัว ต่างกันและให้นมจำนวนไม่เท่ากัน มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไปนอกจากนั้นในแม่โคตัวเดียวกัน ก็ยังมีความต้องการสารอาหารในแต่ละช่วงแตกต่างกันไปอีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ<br />
ช่วงระยะการให้น้ำนม แม่โคนมที่อยู่ในระยะใกล้คลอดหรือหลังคลอดใหม่ ๆ แม่โคนมที่อยู่ระหว่าง การให้น้ำนมสูงสุด (2 เดือนแรกของการให้นม) การให้นมช่วงกลาง การให้นมในช่วงปลาย และช่วงหยุด การให้นม จะมีความต้องการสารอาหารในแต่ละระยะการให้นมที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำนมที่ แม่โคผลิตได้ในแต่ละช่วงจะแตกต่างกัน<br />
สภาพของร่างกาย โคนมที่สามารถให้น้ำนมได้เต็มที่ สุขภาพของแม่โคจะต้องพร้อม คือ ไม่ควรจะอ้วน หรือผอมจนเกินไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารที่มากขึ้น ทั้งนี้เพราะโคจะต้องใช้สารอาหาร ในการบำรุงร่างกาย และเจริญเติบโตก่อนจึงจะนำไปใช้ในการสร้างน้ำนม<br />
เมื่อเกษตรกรได้รู้ถึงความต้องการสารอาหารของโคแล้ว ซึ่งในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงความต้องการสารอาหาร แต่ละชนิด เพราะอาจจะทำให้สับสน แต่อยากจะให้เกษตรกรได้ทราบถึงเหตุผลว่าทำไมจึงมีความจำเป็นที่ จะต้องให้อาหารต่างกันในโคแต่ละตัวหรือในโคตัวเดียวกันแต่ต่างระยะเวลา</div><div><br />
<b><span style="color: orange;">ส่วนประกอบของอาหารแม่โครีดนม</span></b></div><div>โดยทั่วไปแล้วสัดส่วนอาหาร (ration) ของแม่โครีดนมควรจะมีส่วนประกอบดังนี้</div><div>- โปรตีนรวม (Crude protein) ร้อยละของน้ำหนักอาหาร 12-22</div><div>- ผลรวมโภชนะย่อยได้ (Total Digestible Nutrient, TDN) ร้อยละของน้ำหนักอาหาร 60-70</div><div>- เยื่อใย (Crude fiber) ไม่ต่ำกว่า ร้อยละของน้ำหนักอาหาร 15</div><div>- เกลือแร่ ร้อยละของน้ำหนักอาหาร 0.5-1</div><div><br />
<b><span style="color: orange;">ปริมาณการกินอาหารหยาบ</span></b><br />
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โคนมเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง จึงจำเป็นต้องได้รับอาหารหยาบอย่างเพียงพอ ซึ่งในจุดนี้ เกษตรกรบางส่วนไม่ค่อยได้คำนึงถึงมากนัก อย่าคิดแต่เพียงว่าถ้าให้อาหารข้นมาก ๆ โคจะได้รับสาร อาหารมาก และจะทำให้ผลผลิตน้ำนมได้มาก ตรงกันข้ามในความเป็นจริงแล้วโคที่ได้รับอาหารข้นมากเกินไป กลับทำให้ผลผลิตน้ำนมลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากการที่โคได้รับอาหารหยาบน้อยเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการ ผิดปกติในระบบการย่อยอาหาร คือ เกิดความเป็นกรดในกระเพาะผ้าขี้ริ้วมากจนโคไม่ยอมกินอาหาร ทั้งนี้ เพราะอาหารหยาบมีเยื่อใยสูงจะช่วยในการเคี้ยวเอื้อง ทำให้ต่อมน้ำลายของโคหลั่งน้ำลายได้มากขึ้นและ น้ำลายนี้เองที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะช่วยปรับสภาพภายในกระเพาะผ้าขี้ริ้วให้เหมาะสมแก่การทำงานของจุลินทรีย์ เพื่อสังเคราะห์โปรตีน และพลังงานแก่โคต่อไป เกษตรกรจึงจำเป็นที่จะต้องมีอาหารหยาบเพียงพอให้แก่โคซึ่ง ระดับของอาหารหยาบ เมื่อคิดเป็นน้ำหนักแห้งที่แม่โคควรจะได้รับต่อวันไม่ควรต่ำกว่า 1.4% ของ นน. ตัว ตัวอย่างเช่น แม่โคนมที่มีน้ำหนักประมาณ 400 กก. ควรจะได้รับอาหารหยาบแห้งตามที่ได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ คือ แม่โคนมที่มีน้ำหนักตัว 100 กก. ต้องการอาหารหยาบ = 1.4 กก. แม่โคนมที่มีน้ำหนักตัว 400 กก. ต้องการ อาหารหยาบ =(1.4 x 400)/100 กก. <br />
<div>แม่โคควรจะได้รับอาหารหยาบแห้ง/วัน = 5.6 กก. เมื่อนำมาคิดเทียบกับไปเป็นหญ้าสด ซึ่งทั่ว ๆ ไปมีวัตถุ แห้งประมาณ 25% ดังนั้น โคควรจะได้รับหญ้าสดในปริมาณวันละ = (5.6 x 100)/100 = 22.4 กิโลกรัม <br />
<br />
<b><span style="color: orange;">ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอาหารหยาบกับอาหารข้นที่จะใช้</span></b><br />
คุณภาพของอาหารหยาบและปริมาณการกินอาหารหยาบ จะเป็นตัวกำหนดสารอาหารที่แม่โคจะได้รับ เช่น แม่โคกินอาหารหยาบคุณภาพดีและกินในปริมาณที่มาก ก็จะได้รับสารอาหารมากกว่าแม่โคที่กิน อาหารหยาบที่มีคุณภาพต่ำและกินได้น้อย ดังนั้นจึงทำให้อาหารข้นที่จะใช้เสริมนั้นแตกต่างกัน คือ อาหารข้นจะต้องมีสารอาหารหรือความเข้มข้นแตกต่างกัน มิใช่ให้ในปริมาณที่แตกต่างกัน มิฉะนั้นแล้วจะ มีผลต่อการกินอาหารหยาบตามมา เพราะกระเพาะโคมีขนาดคงที่ ความสัมพันธ์ของอาหารหยาบและ อาหารข้นพอจะสรุปได้ดังนี้คือ<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">คุณภาพของอาหารหยาบที่ใช้</span></b><br />
อาหารหยาบคุณภาพ ดี ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 12-16 หรือประมาณ 14<br />
อาหารหยาบคุณภาพ ปานกลาง ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 16-20 หรือประมาณ 18<br />
อาหารหยาบคุณภาพ ต่ำ ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 20-24 หรือประมาณ 22<br />
<br />
ในความเป็นจริงแล้ว คุณภาพของอาหารข้นนอกจากจะคำนึงถึงโปรตีนในอาหารแล้ว ยังต้องคำนึงถึง พลังงาน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากในแม่โคที่กำลังให้นม อย่างไรก็ตามคำแนะนำอย่างง่าย ๆ ก็คือถ้าแม่โคของท่านมีความสามารถในการให้นมสูง แต่ท่านจำเป็นต้องให้อาหารหยาบคุณภาพต่ำ เช่น ฟางข้าวเลี้ยงหรือต้องเดินแทะเล็มในทุ่งหญ้าธรรมชาติเป็นระยะทางไกล ๆ ท่านควรจะเสริมอาหารพลังงาน อาทิเช่น มันเส้น หรือกากน้ำ (Molasses) นอกเหนือจากอาหารหยาบและอาหารข้นที่กล่าวถึงแล้ว แต่ท่าน ก็ไม่ควรจะหวังถึงการให้นมได้สูงสุด คงจะเป็นเพียงช่วยไม่ให้การให้นมของแม่โคลดลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น<br />
<br />
<b><span style="color: orange;">การผสมสูตรอาหารข้นและการเลือกใช้วัตถุดิบผสมอาหารข้น</span></b><br />
เกษตรกรสามารถเลือกใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ได้หลายอย่าง เพื่อนำมาผสมเป็นอาหารข้น แต่สิ่งที่เกษตรกร ควรระวังในการเลือกใช้วัตถุดิบต่าง ๆ คือ อย่าคิดถึงราคาต่อกิโลกรัมเท่านั้น เพราะวัตถุดิบบางชนิดมีราคา ต่อกิโลกรัมต่ำกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบสารอาหารที่มีอยู่ เช่น โปรตีน อาจจะทำให้ราคาต่อสารอาหารนั้นมี ราคาสูงกว่าก็ได้ อย่างไรก็ตามในเรื่องการเลือกใช้วัตถุมีรายละเอียดอยู่มาก ในที่นี้จึงได้จัดทำสูตรอาหาร ข้นขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรได้นำไปใช้ โดยพยายามเลือกใช้วัตถุดิบและราคาจำหน่ายตามที่มีจำหน่ายอยู่ ทั่ว ๆ ไป ในแหล่งที่มีการเลี้ยงโคนม</div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3914964505421351548.post-85223739518832988292011-07-09T03:10:00.000-07:002011-09-17T08:19:01.835-07:00พันธุ์โคนม<div style="text-align: justify;"> พันธุ์โคนมที่ถือกันว่าเป็นพันธุ์หลักมีอยู่ 5พันธุ์ด้วยกัน คือ แอร์ไซร์,บราวน์สวิส,เกิร์นซี,โฮลสไตน์ ฟรีเซียน และเจอร์ซี <br />
<div style="text-align: justify;"></div><div style="text-align: justify;"><strong><span style="color: orange;">แอร์ไซร์ ( Ayrshire )</span></strong></div></div><div style="text-align: justify;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijVQM5j53tlGiem-Pa3FJfKWT8NvzhhI5RjQwIA8lCZBlJYV_hPV7M5ufpyTk6z5a0axrPQVF66O14z1Tt6fZ-A-MLGHpu3IaMTr-PQx3MtQAnb3Dxt-lKn2UkFnSyVsI-a1W7V8XRMZ4z/s320/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijVQM5j53tlGiem-Pa3FJfKWT8NvzhhI5RjQwIA8lCZBlJYV_hPV7M5ufpyTk6z5a0axrPQVF66O14z1Tt6fZ-A-MLGHpu3IaMTr-PQx3MtQAnb3Dxt-lKn2UkFnSyVsI-a1W7V8XRMZ4z/s320/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">ถิ่นกำเนิด สก๊อตแลนด์</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะสำคัญ เป็นโคที่แข็งแรง แทะเล็มหญ้าเก่ง แม่โคโตเต็มที่หนักประมาณ 544กก.พ่อโคหนักประมาณ 861 กก. มีสีขาว - น้ำตาลแดง เขามีลักษณะโค้งและกางออก พันธุ์แอร์ไซร์จัดเป็นพันธุ์ที่ให้นมสูงในลำดับที่สามระหว่างพันธุ์โคนมด้วยกันปริมาณน้ำนมโดยเฉลี่ยประมาณ 5,307กก./ปี เปอร์เซ็นต์ไขมันนมประมาณ ร้อยละ 4 จัดเป็นลำดับที่สี่ในกลุ่มพันธุ์หลัก </div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b><span style="color: orange;">บราวน์สวิส ( Brown Swiss )</span></b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv6YuxOAPyykcfgOLdkemYoXoIel2r7RR2GSUUFNsvHYyqnTweUZtBfZ9mAHZQ1dgG-mpmoFkB6jRAZsRYcmVACDyFt-jaOShuTMY8BEb2clqy2Cj8wJD0BBtwusQeY4LJh9ZVUYePRUvJ/s320/brow+swiss.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv6YuxOAPyykcfgOLdkemYoXoIel2r7RR2GSUUFNsvHYyqnTweUZtBfZ9mAHZQ1dgG-mpmoFkB6jRAZsRYcmVACDyFt-jaOShuTMY8BEb2clqy2Cj8wJD0BBtwusQeY4LJh9ZVUYePRUvJ/s320/brow+swiss.gif" /></a></div><div style="text-align: justify;"></div><div style="text-align: justify;"><div style="text-align: justify;">ถิ่นกำเนิด สวิสเซอร์แลนด์</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะสำคัญ มีสีน้ำตาลล้วน จมูกและลิ้นมีสำดำ เขาโค้งมาด้านหน้าชี้ขึ้น บราวน์สวิสเป็นโคที่มีโครงร่างใหญ่ ตัวเมียโตเต็มที่ประมาณ 680 กก. ส่วนตัวผู้หนักประมาณ 907 กก. โคตัวเมียเป็นสาวช้า กว่าพันธุ์อื่นๆ พันธุ์นี้ทนร้อนได้ดี นิยมนำพ่อโคผสมกับแม่โคเนื้อเพื่อได้ลูก ผสมสำหรับขุน</div><div style="text-align: justify;">บราวน์สวิสจัดเป็นโคที่ให้นมสูงเป็นลำดับสองรองลงมาจากโคพันธุ์โฮลสไตน์-ฟรีเซียน ค่าเฉลี่ยของการให้นมประมาณ 5,488 กก./ปี ไขมันนมประมาณร้อยละ 4.1 จัดเป็นลำดับที่สามในกลุ่มพันธุ์โคนมหลัก</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b><span style="color: orange;">เกิร์นซี ( Guernsey )</span></b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLwzWKzzOd6_8F8T4UzWjCNEHx1cqThHchMQoE82CXPPiBJwNez9fstebTaFo-QZOdNr2kidMRTKCEN4RgTZg8kIeC_NM4UVyiWU8qY4X7uVZjR5YKttZzdInKQGuHaLteL6clFwaRE-2O/s320/guernsey.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="245" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLwzWKzzOd6_8F8T4UzWjCNEHx1cqThHchMQoE82CXPPiBJwNez9fstebTaFo-QZOdNr2kidMRTKCEN4RgTZg8kIeC_NM4UVyiWU8qY4X7uVZjR5YKttZzdInKQGuHaLteL6clFwaRE-2O/s320/guernsey.jpg" width="320" /></a></div><div style="text-align: justify;"><br />
<div style="text-align: justify;">ถิ่นกำเนิด เกาะ Guernsey บริเวณช่องแคบอังกฤษ-ฝรั่งเศษ</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะสำคัญ มีสีน้ำตาลเหลืองแต้มขาว เขาโค้งออกไปด้านหน้า เป็นสาวเร็ว เชื่อง แม่โคโตเต็มที่หนักประมาณ 499 กก. พ่อโคหนัก 816 กก. ให้นมเป็นลำดับที่สี่ เฉลี่ยประมาณ 4,808 กก./ปี ไขมันนม ร้อยละ 5 จัดเป็นลำดับที่สองรองจากพันธุ์เจอร์ซีในกลุ่มพันธุ์หลัก น้ำนมของโคพันธุ์นี้มีสีออกเหลือง</div><div style="text-align: justify;"><strong><br />
</strong></div><div style="text-align: justify;"><strong><br />
</strong></div><div style="text-align: justify;"><strong><span style="color: orange;">โฮลสไตน์ ฟรีเซียน ( Holstein-Friesian )</span></strong><br />
</div><div style="text-align: justify;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNOZ_hyphenhyphenxF7oj9cU35EGI9CZ80QMXa536kSdXTMeGTeLaywFmwtRQga45beX9L9EeTl-3sdA4kDqSh2SbLT4-AV1To4PWyoEYvfD3JBcbUl6oKzwnQhCzg8eZLIww4TscFOndgc6TwNhwsw/s320/holstien.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="248" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNOZ_hyphenhyphenxF7oj9cU35EGI9CZ80QMXa536kSdXTMeGTeLaywFmwtRQga45beX9L9EeTl-3sdA4kDqSh2SbLT4-AV1To4PWyoEYvfD3JBcbUl6oKzwnQhCzg8eZLIww4TscFOndgc6TwNhwsw/s320/holstien.jpg" width="320" /></a></div><div style="text-align: justify;"></div><div style="text-align: justify;"><div style="text-align: justify;">ถิ่นกำเนิด เนเธอแลนด์</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะสำคัญ เป็นพันธุ์โคที่นิยมเลี้ยงกันมาก เพราะให้นมสูงที่สุดจัดเป็นอันดับหนึ่ง เฉลี่ยประมาณ 6,577 กก./ปี ไขมันร้อยละ 3.5 ต่ำที่สุดในบรรดาพันธุ์โคนม โคพันธุ์นี้มีสีขาว-ดำ จึงเรียกกันอีกชื่อว่าพันธุ์ขาว-ดำ (Black and White) ลักษณะเขาไปด้านหน้าและโค้งเข้า โคพันธุ์นี้จัดเป็นโคนมพันธุ์ใหญ่ที่สุด แม่โคโตเต็มที่หนักประมาณ 680 กก. พ่อโคหนักประมาณ 998 กก. มีเต้านมขนาดใหญ่ เล็มหญ้าเก่ง กินจุ ปรับตัวเก่ง</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b><span style="color: orange;">เจอร์ซี ( Jersey )</span></b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXjqK6WScFyte34t-efM-n13FalnXPoId8ePFwCUA_M4emY9a4GTDoo-zjViuNwAl32h-qsAXnmFBL7QwMgwEIK0ovUV5ki3sPviVwbrUkbX2T3TExAPGVcl9Ltok4f2he613FKI0hCx8r/s320/jersey.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="267" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXjqK6WScFyte34t-efM-n13FalnXPoId8ePFwCUA_M4emY9a4GTDoo-zjViuNwAl32h-qsAXnmFBL7QwMgwEIK0ovUV5ki3sPviVwbrUkbX2T3TExAPGVcl9Ltok4f2he613FKI0hCx8r/s320/jersey.jpg" width="320" /></a></div><div style="text-align: justify;"></div><div style="text-align: justify;"><div style="text-align: justify;">ถิ่นกำเนิด เกาะเจอร์ซี บริเวณช่องแคบอังกฤษ</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะที่สำคัญ มีสีครีมไปจนสีน้ำตาลเหลืองออกไปทางดำก็มี เนื้อ จมูก (muzzle) มีสีีดำ จัดเป็นโคนมพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด แม่โคมีน้ำหนักโตเต็มที่เฉลี่ยประมาณ 453 กก. พ่อพันธุ์หนักประมาณ 725 กก. เขาโค้งเข้าลาดไปด้านหน้า โคเจอร์ซีมีเต้านมที่สวยงาม การยึดเกาะเต้านมดี ปรับตัวในการกินอาหารได้เก่ง แม่โคค่อนข้างจะขี้ตื่น ให้นมเฉลี่ยประมาณ 4,536 กก./ปี ไขมันนมเฉลี่ยร้อยละ 5.4 สูงเป็นอันดับหนึ่ง</div></div></div></div></div></div>Kullapathttp://www.blogger.com/profile/06800488989007360711noreply@blogger.com0